สติปัฏฐาน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากพระไตรปิฎก และ ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรม
โดย ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อะไรเป็นปัจจัยของสติ
วิท. แล้วทำอย่างไรจึงจะให้มีสติระลึกรู้บ่อยๆ ล่ะครับ อะไรเป็นปัจจัยของสติ
ท่านอาจารย์ การฟังเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมมากๆ มากกว่าที่จะคิดเรื่องอื่น จนกระทั่งเป็นสัญญาความจำที่มั่นคง ไม่ว่าจะกำลังหมกมุ่นครุ่นติดเรื่องอะไร สติก็ยังระลึกลักษณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นผู้สังเกตเอง เพราะว่าวันหนึ่งๆ ทุกคนคิดแล้ว ก็ลองวิเคราะห์ความคิดของท่านดูว่า ท่านคิดเรื่องอะไรมาก เรื่องโลภะมาก หรือว่าเรื่องโทสะมากหรือว่าเรื่องกุศลมาก ถ้าคิดเรื่องปรมัตถธรรมมากแล้วก็พิจารณาโดยละเอียดโดยแยบคาย เข้าใจขึ้น นั่นจะเป็นสัญญา ความจำที่มั่นคงที่จะเป็นปทัฏฐาน คือเป็นเหตุใกล้ ที่จะให้สติเกิด ระลึก ได้ เพราะ ว่ากำลังปรากฏ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ท่อง
สติสัมปชัญญะ
การฟังพระธรรมนี้เป็น กุศลจิต ไม่ใช่ไปเที่ยว สติสัมปชัญญะเกิดรู้ลักษณะของกุศลจิตหรือเปล่า นี่คือความหมายของ สติสัมปชัญญะ แน่นอนไม่ใช่เพียงขั้นการฟัง เพราะว่าขั้นการฟัง สติมี แต่ว่า สัมปชัญญะ จะรู้ลักษณะ ของสภาพของจิต ในขณะนี้ไหม จะต้องมีลักษณะของสภาพธรรม ปรากฏ ให้รู้ ให้เข้าใจได้
สติปัฏฐาน
สังเกตลักษณะที่กำลังปรากฏ เพื่อที่จะได้รู้ว่าลักษณะนั้น เป็นสภาพรู้ หรือ ไม่ใช่สภาพรู้ นั่นเป็นสติปัฏฐาน นอกจากนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน
ไม่ใส่ใจถึงคนอื่น
ขสติของตนเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏหรือเปล่า ไม่ใส่ใจถึงคนอื่นเลยขณะนั้น จะไม่เป็นเหตุให้เดือดร้อนใจ ด้วยอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะนี้ มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีการกระทบสิ่งที่แข็ง หรือ อ่อน มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไหม หมายความว่าขณะนั้น ไม่ใช่สติขั้นทาน ขั้นศีล แต่ว่าเป็นสติที่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนั้น
๓. วิชชาสูตร
ว่าด้วยวิชชาเป็นหัวหน้าแห่งกุศลธรรม
[๒๑๑] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิชชา เป็นหัวหน้าแห่งอกุศลธรรม อหิริกะ อโนตตัปปะ เป็นไปตาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนวิชชาแลเป็นหัวหน้าแห่งการถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม หิริและโอตตัปปะ เป็นไปตาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ทุคติอย่างใดอย่างหนึ่ง ในโลกนี้และในโลกหน้า ทั้งหมดมีอวิชชาเป็นมูล อันความปรารถนาและความโลภก่อขึ้น ก็เพราะเหตุที่บุคคลเป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไม่มีหิริ ไม่เอื้อเฟื้อ ฉะนั้น จึงย่อมประสบบาป ต้องไปสู่อบาย เพราะบาปนั้น เพราะเหตุนั้น ภิกษุสำรอก ฉันทะ โลภะและอวิชชาได้ ให้วิชชาบังเกิดขึ้นอยู่ พึงละ คือ พึงสละ พึงก้าวล่วงทุคติทั้งปวงเสียได้. เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบวิชชาสูตรที่ ๓
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผู้ร่วมเดินทาง คุณเซจาน้อย และ ทุกท่านครับ
สติปัฏฐาน ทั้งสี่ เพื่อความถูกต้อง ให้ศึกษาคำของพระศาสดาครับ เพราะคำของพระศาสดาไม่มีข้อผิดพลาด ...