จิตนี้มาจากไหน
จิตไม่มีวันตาย เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด แล้วแรกเริ่มเดิมทีปฏิสนธิจิตแต่ละดวง มาจากไหนกันครับ แล้วการเกิดครั้งแรกๆ ของจิตดวงนี้ เกิดมาเป็นอะไรก่อนครับ คน หรือ สัตว์ ท่านผู้รู้ช่วยสงเคราะห์ในความโง่ของผมหน่อยครับ ขอขอบคุณชั่วชีวิต ที่แสดงความเห็น หรือสอนให้เข้าใจที่ไปที่มาของจิต มีท่านผู้รู้บอกว่า “จิตเดิม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามาจากความไม่รู้ คือ อวิชชา ความไม่รู้นั่นแหละเป็นตัวพาให้มันมาเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำให้มันรู้ซะ จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก จำไว้ว่ามันเกิดจากอวิชชาทั้งนั้น ทั้งโลภ โกรธ หลง จำไว้นะให้ตอบเขาแบบนี้นะ” แต่ก็ยังไม่เข้าใจครับ
ขอคำอธิบายเพิ่มหน่อยครับ ว่าจิตเกิดขึ้นครังแรกนัั้นเกิดได้อย่างไร เพราะอะไรเป็นปัจจัยให้เกิด แล้วจิตเกิดขึ้นมาใหม่อีกมีหรือไม่ที่ไม่ได้เกิดจากจิตดวงเก่าที่ดับไป และการที่มีจิตกันคนละดวงเกิดดับแล้วก็สืบต่อกันแล้วถ้ามีดวงจิตที่กิดขึ้นใหม่อีกหมายถึงปฐมวิญญาณดวงแรกได้เกิดขึ้นมาแล้วดวงเก่าก็ไม่ได้ดับ (นิพพาน) ก็หมายความว่าในโลกของเราและภพภูมิต่างมีจิตวิญญาณมากขึ้นทุกปีใช่หรือไม่ครับ มีคำกล่่าวจากท่านผู้รู้บอกว่าจิตเกิดจากการกระทบ เพราะกระทบ จิตจึงเกิดใช่หรือไม่ครับ ขอความกรุณาตอบให้ด้วยครับ ขออภัยถ้าอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไร
ขอบคุณและอนุโมทนาท่านที่กรุณาตอบด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิต จิตมาจากไหน จิต เพราะอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะอาศัยสภาพธรรมหลายๆ อย่าง เช่น อาศัยเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกัน ร่วมกัน จึงเกิดขึ้น และอาศัยที่เกิดของจิต คือ วัตถุ ๖ ประการ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ หทยรูป จึงทำให้จิตเกิดขึ้น ดังนั้น วิญญาณ หรือ จิต ไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะอาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการจึงเกิด วิญญาณ หรือ จิตเกิดขึ้นตามที่กล่าวมา ไม่มีใครบันดาล หรือ สร้าง จิต หรือ วิญญาณ แต่อาศัยธรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้นครับ และอีกนัยหนึ่ง วิญญาณ หรือ จิต เกิดขึ้นได้และยังมีปัจจัยให้เกิดวิญญาณ หรือ จิตเกิดดับสืบต่อไป ไม่ขาดสาย ที่เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ เพราะ มีกิเลส มีอวิชชา คือ ความไม่รู้ เมื่อมีความไม่รู้ ก็มีการทำกรรม ที่เป็นกรรมดี และไม่ดี เมื่อมีการทำกรรมดี และไม่ดี ก็มีการให้ผลของกรรม ทำให้เกิด จิต เจตสิก เกิด วิญญาณ คือ จิตประเภทต่างๆ เกิดขึ้น วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ อาศัย อวิชชา คือ ความไม่รู้นั่นเองครับ ดังนั้น กำเนิดของวิญญาณ คือ จิต จึงไม่พ้นจาก อวิชชาความไม่รู้ ครับ
ส่วนจุดเริ่มต้นของ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็น วิญญาณ คือ จิต รวมถึงเจตสิก หาเบื้องต้นไม่ได้ เพราะสังสารวัฏฏ์หาที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ครับ ด้วยความยาวนานของสังสารวัฏฏ์ครับ แต่สรุปได้ว่า เพราะมีเงื่อนเบื้องต้น คือ อวิชชา ความไม่รู้ จึงมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมต่างๆ ครับ
ดังนั้น ที่ไม่แจ่มแจ้ง เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่า จิตดวงแรกเกิดเมื่อไหร่ เพราะสุดวิสัยของปัญญา เพราะเกิดมานับไม่ถ้วน ไม่สามารถระลึกย้อนไปถึงได้ ครับ เพียงแต่ว่า จิตเกิดขึ้นเพราะอาศัยความไม่รู้เป็นปัจจัย และแม้จะมีผู้กล่าวว่า จิต เกิดขึ้นอย่างนี้ จิตดวงแรก เป็นอย่างนี้ ก็ย่อมนำมาซึ่งความสงสัยอยู่ดี เพราะ ตัวเองก็ไม่ประจักษ์เช่นนั้น พระพุทธองค์จึงทรงไม่แสดง สิ่งที่พวกเราทั้งหลายประจักษ์ไม่ได้ และเหลือวิสัยอันนำมาซึ่งกิเลสเกิดขึ้น คือ ความลังเลสงสัยว่าจริงหรือไม่ แต่พระองค์ทรงแสดงสิ่งที่สำคัญ อันเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ละคลายกิเลส เป็นประโยชน์จริงๆ คือ เหตุเกิดของจิต เจตสิก รูป ที่เป็นตัวทุกข์ คือ อวิชชาและแสดงหนทางดับทุกข์ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ดังนั้น สำคัญที่รู้ที่ตัวเหตุให้เกิด จิต เจตสิก และเกิดสังสารวัฏฏ์ การวนเวียนเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ครับ เพราะ เมื่อรู้เหตุ คือ อวิชชา ความไม่รู้ และตัณหา จึงอบรมปัญญา เพื่อดับเหตุ ก็จะพ้นจากทุกข์ คือ การเกิดขึ้น ของจิต เจตสิกและรูป ครับ
ดังนั้น การคิดที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ อันเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส คือ คิดในหนทางที่จะละการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก ซึ่งก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ
และจากคำถามที่ว่า
แล้วจิตเกิดขึ้นมาใหม่อีก มีหรือไม่ที่ไม่ได้เกิดจากจิตดวงเก่าที่ดับไป และการที่มีจิตกันคนละดวงเกิดดับแล้วก็สืบต่อกัน แล้วถ้ามีดวงจิตที่กิดขึ้นใหม่อีกหมายถึงปฐมวิญญาณดวงแรกได้เกิดขึ้นมาแล้ว ดวงเก่าก็ไม่ได้ดับ (นิพพาน) ก็หมายความว่าในโลกของเราและภพภูมิต่างมีจิตวิญญาณมากขึ้นทุกปีใช่หรือไม่ครับ
สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกเกิดขึ้นและดับไป ไม่เที่ยงเลย ซึ่งจิตที่ดับไปแล้ว จะไม่กลับมาเกิดใหม่อีกเลย และจิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นสืบต่อจากจิตดวงเก่า ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็เป็นเหตุปัจจัยให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้น จึงกล่าวได้ว่า มีจิตเกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา และจิตดวงเก่าที่ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ครับ แต่เพราะอาศัย จิตดวงเก่าที่ดับไป เป็นปัจจัยด้วยดีและเป็นปัจจัยให้เกิดต่อไป ไม่มีระหว่างคั่น ที่เป็นอนัตตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ทำให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้น เพราะมีจิตดวงเก่าที่ดับไป เป็นปัจจัย ครับ
และจากคำถามที่ว่า
มีคำกล่าวจากท่านผู้รู้บอกว่าจิตเกิดจากการกระทบ เพราะกระทบ จิตจึงเกิดใช่หรือไม่ครับ ขอความกรุณาตอบให้ด้วยครับ
จิตเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัย ดังนั้น จิตเกิดขึ้น เพราะอาศัย เจตสิกเกิดขึ้น จึงเกิดได้ และอาศัย ผัสสะ เจตสิก ที่ทำหน้าที่กระทบ เกิดขึ้นด้วย และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัย รูปเป็นปัจจัย คือ เป็นที่อาศัยให้เกิดขึ้นของจิตดวงนั้นด้วยครับ ดังนั้น จิตและเจตสิกรวมทั้งสภาพธรรมอื่นๆ อาศัยเหตุปัจจัย ไม่ใช่เหตุปัจจัยเดียว ไม่ใช่การกระทบเท่านั้นแต่เหตุปัจจัยอื่นๆ มาประชุมรวมกัน จึงเกิดจิต เจตสิก ครับ
การศึกษาพรธะรรม โดยเฉพาะเรื่องจิต เจตสิก รูป ประโยชน์ คือ เพื่อเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เราเพื่อไถ่ถอนความเห็นผิดว่า เป็นสัตว์ บุคคล ละอวิชชา อันจะนำมาซึ่งการดับกิเลสประการทั้งปวง ครับ นี่คือประโยชน์และการศึกษาที่ถูกต้องในการศึกษาพระอภิธรรม มีจิต เจตสิก รูป ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องเริ่มที่ความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ ว่า จิต เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป เมื่อเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน แต่ละบุคคลก็เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์อะไร) เพราะผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาซึ่งยังดับไม่ได้ ก็ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ประการที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานอยู่เพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต (รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย) และที่สำคัญ จิต ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีที่เกิด มีอารมณ์ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น เป็นการปฏิเสธความเป็นตัวตนอย่างสิ้นเชิง ในแต่ละภพในแต่ละชาติ จิตขณะแรก คือ ปฏิสนธิจิต ซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อๆ ไปเกิดขึ้นเป็นไป ... จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ คือ จุติจิต, จิตแต่ละขณะย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย (ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุ) เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืนอย่างเช่น ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นจิตขณะแรกในชาตินี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นผลของกุศลกรรม จึงทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ (ที่ไม่พิการ บ้า ใบ้ บอด หนวก) เพราะปฏิสนธิจิต เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ซึ่งไม่มีใครบังคับหรือทำให้เราเกิดได้ เราไม่สามารถย้อนระลึกถึงอดีตชาติที่ผ่านๆ มาได้ แต่ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม สะสมความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม มีชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป สมจริงดังข้อความธรรมที่ควรเก็บไว้ในหทัยที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าว ไว้ว่า
"ปัญญา จะมีได้ ก็ต่อเมื่อฟัง และ มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น" ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ผมว่าเป็นเรื่องอจินไตย ไม่ควรถามน่ะครับ เรื่องที่ควรคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ครับ
ขอบคุณกับคำตอบที่เป็นประโยชน์ของท่านผู้รู้ทุกท่านครับ และเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 4 ครับ ว่าเป็นเรื่องไม่ควรถาม เพราะเป็นเรื่องอจินไตย คือตามดูรู้ไม่ได้ และควรที่จะศึกษาธรรมที่เป็นประโยชน์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงนำมาสั่งสอนพวกเราจะดีกว่า
ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้สนทนาด้วยครับ