การบรรลุธรรม จำเป็นต้องรู้เรื่องในพระไตรปิฎกก่อนหรือเปล่าครับ

 
chaiyakit
วันที่  8 เม.ย. 2555
หมายเลข  20929
อ่าน  4,813

การบรรลุธรรม จำเป็นต้องบวชเป็นภิกษุ และต้องรู้เรื่องในพระไตรปิฎกก่อนหรือ เปล่าครับ ถึงจะบรรลุธรรมได้ ผมเห็นสมัยพุทธกาลชาวบ้านที่เป็นฆารวาสหรือ อุบาสก อุบาสิกาเขาบรรลุธรรมกันตั้งแต่โสดา สกทา อนาคา กันเต็ม บางทีผมสงสัย ว่า พระอริยะทำไมมีแต่ฝ่ายภิกษุ แต่ฝ่ายอุบาสก อุบาสิกาไม่มี หรือว่าสมัยนี้ภิกษุ เท่านั้นถึงจะบรรลุได้  ดูคล้ายๆ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่างห่างไกล ซะเหลือเกิน เข้าถึงยาก  และสมัยนี้มีพระดังต่างๆ ออกมาระบุว่าพระรูปนั้น พระรูปนี้เป็น พระอรหันต์ และทำนายว่าอนาคตจะมีพระอรหันต์ อยู่ที่จังหวัดนั้น จังหวัดนี้ ให้รีบไป เคารพบูชา

จริงเท็จประการใด ขอคำกระจ่างหน่อยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตตอบไปทีละประเด็นนะครับ

ประเด็นแรกที่ถามว่า

การบรรลุธรรม จำเป็นต้องบวชเป็นภิกษุและ คำถามที่ว่าบางทีผมสงสัยว่า .. พระอริยะ ทำไมมีแต่ฝ่ายภิกษุ แต่ฝ่ายอุบาสก อุบาสิกาไม่มี หรือว่าสมัยนี้ภิกษุเท่านั้นถึงจะ บรรลุได้

ซึ่งการบรรลุธรรม คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมทีเป็นฝ่ายดีเกิดขึ้น นั่นคือ ปัญญา ที่เกิดพร้อมแก่กล้า ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ซึ่ง ปัญญา เป็นเจตสิกที่ดี ที่เกิดพร้อมกับจิตนั้น ไม่ได้จำกัดเพศ คือ ไม่ว่าคฤหัสถ์ บรรพชิต ชาย หรือ หญิง มนุษย์ เทวดา พรหม ก็สามารถเกิดปัญญาได้ เพราะ เมื่อมีการสะสมอบรมปัญญามา ปัญญาก็สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ครับ ซึ่งในสมัยพุทธกาล ก็มีตัวอย่างมากมายที่คฤหัสถ์บรรลุธรรม เกิดปัญญา เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา ก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ท่านจิตตคฤหบดี บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี ท่านสันตติ มหาอำมาตย์ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านเหล่านั้นสะสมปัญญามา ดังนั้น การสะสมปัญญามาก็ไม่เลือกเพศ และปัญญาจะเกิดก็ไม่เลือกเพศเช่นกันครับ การบรรลุธรรมจึงไม่จำเป็นจะต้องบวชเป็นเพศบรรพชิต ครับ

และคำว่า พระอริยะ หมายถึง ผู้ที่ประเสริฐ ประการหนึ่ง หมายถึง ผู้ที่เจริญ อบรมธรรมอันประเสริฐ ประการหนึ่ง ดังนั้น พระอริยะผู้ที่ประเสริฐจะประเสริฐก็ด้วยถึงธรรมอันประเสริฐก็ด้วยปัญญา เมื่อมีปัญญา ย่อมถึงความเป็นพระอริยะผู้ประเสริฐได้ครับ

ดังนั้น ตามที่กล่าวแล้ว ปัญญาไม่ได้เลือกว่าจะเกิดกับใคร สามารถเกิดได้ ทั้ง อุบาสก อุบาสิกา ครับ ดังนั้น คฤหัสถ์ ก็สามารถเป็นพระอริยะ ผู้ประเสริฐได้ เพราะอบรมธรรมอันประเสริฐ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่ง พระอริยะที่เป็นคฤหัสถ์ ที่เป็น อุบาสก อุบาสิกา มีมากมาย ตามที่กล่าวมาแล้ว มี นางวิสาขา เป็นต้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 9 เม.ย. 2555

และต้องรู้เรื่องในพระไตรปิฎกก่อนหรือเปล่าในการที่จะบรรลุธรรม

ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจครับว่า พระไตรปิฎก คือ อะไร

พระไตรปิฎก คือ พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ ทั้งพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม ซึ่ง การบรรลุธรรมด้วยลักษณะ ๓ อย่าง คือ พุทธเวไนย ธรรมเวไนย สาวกเวไนย

พุทธเวไนย คือ บุคคลที่ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น จึงจะบรรลุธรรมได้ ซึ่งก็ต้องเป็นบุคคลที่เกิดในสมัยพุทธกาล

สาวกเวไนย คือ บุคคลที่บรรลุธรรม เพราะอาศัยการฟังพะรธรรมจากสาวก ของพระพุทธเจ้า

ธรรมเวไนย คือ บุคคลที่บรรลุธรรมเพราะอาศัยการศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า จึงจะบรรลุธรรม

การบรรลุธรรม คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่เป็นฝ่ายดีเกิดขึ้น นั่นคือ ปัญญาที่เกิดพร้อมแก่กล้า ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ซึ่ง ปัญญาจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้มาจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

เพราะฉะนั้น พระไตรปิฎก ถ้าเข้าใจง่ายๆ ก็คือ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นั่นเอง ดังที่พระพุทธพจน์ที่ว่า ปาพจน์ คือ คำสอนของเรา เป็นศาสดาแทนพระองค์ ดังนั้น ผู้ที่บรรลุธรรมโดยได้ฟังจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น คือ พุทธเวไนย ท่านก็ต้องได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็คือ เหมือนได้อ่าน ได้ฟัง ศึกษาพระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎก ก็คือ พระธรรมที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ผู้ที่รับฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เหมือนการอ่านพระไตรปิฎกให้ผู้นั้นรับฟัง ครับ ส่วนผู้ที่บรรลุโดยสาวกเวไนย คือ จากที่สาวกแสดงธรรม ก็คือ แสดงธรรมจากพระพุทธเจ้าทรงแสดงนั่นเอง ก็เปรียบเหมือนการอ่านพระไตรปิฎก ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ผู้อื่นฟังครับ และ ผู้ที่ บรรลุด้วยการศึกษาพระไตรปิฎก คำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ธรรมเวไนย อันนี้ก็ชัดเจนครับ ว่าจะต้องศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ครับ

ที่สำคัญ เรามองในสมัยพุทธกาลว่า ไม่ต้องศึกษาคัมภีร์เป็นเล่มมากๆ มีการศึกษาพระไตรปิฎก ก็บรรลุธรรมแล้ว เพราะท่านเหล่านั้นสะสมปัญญามามากแล้วในอดีตชาติ จึงจะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่หากได้อ่านอดีตชาติของพระสาวกเหล่านั้นจะรู้ว่า ท่านต้องอบรมปัญญา บารมี มานับชาติไม่ถ้วนเป็นระยะเวลายาวนานมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 9 เม.ย. 2555

ดังนั้น ท่านก็ต้องเริ่มจากความไม่รู้ รู้น้อย แต่ก็ต้องได้ฟัง ได้ศึกษาคำสอนจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่เรียกว่า พระไตรปิฎก มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ไม่ใช่ท่านเหล่านั้นไม่ศึกษาพระไตรปิฎก ไม่ฟังพระธรรมแล้วจะมาบรรลุในชาตินี้อย่างรวดเร็วไม่ได้เลยครับ ดังนั้น เมื่อมองโดยระยะเวลาการอบรมปัญญาอย่างยาวนาน ผู้ที่จะบรรลุธรรม ก็ต้องได้ศึกษาพระไตรปิฎกที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าและได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าในอดีตมาแล้ว มากมาย จึงจะบรรลุธรรมได้ ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...

การอบรมเจริญปัญญาขาดปริยัติไม่ได้ ไม่ใช่จะไปปฏิบัติเลย

ดูคล้ายๆ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่างห่างไกลซะเหลือเกิน เข้าถึงยากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่สาธารณะกับทุกๆ คน ผู้ที่สะสมอบรมปัญญามาเท่านั้น จึงจะรู้และเข้าใจได้ ดังนั้น พระธรรมของพระพุทะเจ้า จึงเข้าถึงยาก สำหรับ ผู้ไม่ได้สะสมปัญญามา แม้จะอยู่ใกล้ ด้วยกาย มีใกล้พระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่เขาไม่ สนใจ เพราะไม่ได้อบรมปัญญามา แม้ใกล้ แต่ก็อยู่ไกล พระธรรมและความเห็นถูก จึงอยู่ห่างไกลและเข้าถึงยาก กับ ผู้ที่เห็นผิดและไม่สะสมปัญญามา โดยนัยตรงกันข้าม สำหรับ ผู้ที่สะสมความเห็นถูกมา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เข้าถึงผู้นั้นได้ และไม่ห่างไกลผู้นั้น เพราะความห่างไกล เข้าถึงยากไม่ได้วัดที่การอยู่ใกล้โดยกาย แต่อยู่ที่ ความเข้าใจ คือ ปัญญา ครับ

ส่วนประเด็นเรื่อง การทำนายว่ามีพระอรหันต์ที่ต่างๆ

สัตว์โลก ก็สะสมตามความคิดของตนเอง ประโยชน์ ไม่ได้อยู่ที่ใครจะเป็นพระอรหันต์ แต่สำคัญที่ตนเอง มีความเข้าใจหนทางที่จะเป็นพระอรหันต์ถูกต้องหรือไม่ คือ เข้าใจหนทางการอบรมปัญญาของตนเองถูกต้องหรือไม่ หากยังไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องกล่าวถึงการจะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่ได้เป็นประโยชน์กับตนเอง ครับ ดังนั้นสำคัญที่สุด คือ เข้าใจหนทางการอบรมปัญญาที่เป็นหนทางในการถึงความเป็นพระอรหันต์ให้ถูกต้องครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chaiyakit
วันที่ 9 เม.ย. 2555

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างมาก ครับคุณpaderm _/i_ ที่ให้ความกระจ่าง ผมสงสัยมานานแล้วครับ และหวังว่าเป็นประโยชน์กับผู้ที่ไม่รู้ ให้ได้รู้นะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 9 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ธรรม คืออะไร? ธรรม ไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่ธรรม มีจริงในขณะนี้ ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ก็เป็นพระธรรมที่เป็นไปเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งผู้ที่จะได้ฟังได้ศึกษาและได้รับประโยชน์จากพระธรรมนั้น ต้องเป็นผู้ได้เห็นประโยชน์ของพระธรรม สะสมศรัทธาที่จะฟังพระธรรมมาแล้วอย่างนับชาติไม่ถ้วน จึงทำให้ผู้นั้นสนใจที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาต่อไป สังเกตได้จากพระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น ท่านได้สะสมปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งขาดไม่ได้เลย ก็คือ ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้วจะเข้าใจว่า ทุกคำในพระไตรปิฎก เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ก็คือ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง

พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นไปเพื่อละกิเลส เป็นไปเพื่อการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อมีปัญญาคมกล้า เจริญสมบูรณ์พร้อมก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ตามลำดับมรรค สูงสุดคือถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้วไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง

ในสมัยปัจจุบันนี้ ยังเป็นช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ ผู้ที่เข้าใจพระธรรมและแสดงพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังมีอยู่ จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป เพราะสังสารวัฏฏ์ เป็นเพียงที่พักชั่วคราว เท่านั้น เกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่ง สั้นมาก พักแล้วก็ต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่จะเป็นที่พึ่ง และพึ่งได้อย่างแท้จริง คือ กุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 9 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 10 เม.ย. 2555

พระไตรปิฎกก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนไปตามลำดับ ตั้งแต่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แต่ในครั้งพุทธกาล สาวกก็แปลว่าผู้ฟัง แล้วแต่ การสะสมปัญญาบารมีมาต่างกัน บางคนฟังนิดเดียวก็บรรลุ บางคนต้องฟังมากจึงจะบรรลุ บางคนฟังมากก็ไม่บรรลุ ทั้งหมดอยู่ที่เหตุปัจจัยที่สะสมมาพร้อมหรือยัง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 12 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
aurasa
วันที่ 13 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เซจาน้อย
วันที่ 14 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
sittiporn
วันที่ 7 พ.ค. 2560

ขออนุโมทนาสาธุครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ