ขอรบกวนขอคำแนะนำค่ะ

 
jeed049
วันที่  10 เม.ย. 2555
หมายเลข  20942
อ่าน  1,163

สวัสดีค่ะ,

หนูมีเรื่องขอรบกวนสอบถามค่ะ

หนูได้รู้จักพี่ท่านหนึ่ง ได้บอกว่าเค้าเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย และล่วงรู้อดีตชาติของตนเอง และสามารถถอดจิต รู้ใจผู้อื่นได้ ดูอนาคตผู้อื่นได้

หนูมีข้อสงสัยว่า ... พี่ท่านนี้เค้ามีธรรมะ แต่ชอบเพ่งโทษคนอื่น ติเตียนผู้อื่นอยู่เสมอแล้วมีอารมณ์โกรธร้าย ว่าคำร้ายๆ และประเมินคนอื่นว่าไม่มีวันเข้าถึงแก่นธรรมะได้แท้จริง คือหนูไม่เข้าใจว่า คนที่ไม่สามารถระงับหรือดูทันความโกรธตัวเองได้ เป็นไปได้หรือคะที่สามารถรู้ใจคนอื่น ทั้งที่ใจตัวเองยังตามไม่ทันความโกรธค่ะ และคนลักษณะนี้สามารถอ่านใจผู้อื่น ถอดจิตตนเองได้ เรื่องนี้มีจริงหรือคะ

ขอรบกวนขอคำแนะนำนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ.

ขออนุโมทนาค่ะ :)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การรู้ใจผู้อื่นได้นั้นมีจริง แต่เป็นการอบรมปัญญา ที่เป็นการเจริญสมถภาวนา จนได้ฌานถึงขั้นสูงสุดและอบรมจนคล่องแคล่ว จึงเป็นเรื่องของปัญญาระดับสูงมาก และการรู้อนาคตของผู้อื่น ก็ต้องเป็นปัญญาระดับสูงมากอีกเช่นกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นเรื่องของปัญญาทั้งสิ้น ซึ่งหากเป็นผู้รู้ใจของผู้อื่นที่เจริญสมถภาวนาจนถึงฌาน สูงสุด ย่อมเป็นผู้เห็นโทษของกิเลสตั้งแต่ต้น จึงอบรมสมถภาวนา และเมื่อได้ฌาน สูงสุด ย่อมเป็นผู้ที่เบาบางจากกิเลส คือ กิเลสเกิดขึ้นได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่อบรมสมถภาวนาเลย ครับ เพราะเป็นผู้ที่เห็นโทษของกิเลส และมีปัญญา ทำให้เกิดความสงบจากกิเลสจนได้ฌานสูงสุดครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ กาย วาจาและใจ ก็ย่อมน้อมไปในทางที่ดี ถูกขึ้น ตามกำลังปัญญาที่เจริญขึ้นครับ การกระทำที่ไม่สมควร ทางกาย วาจา มี การว่าร้าย เพ่งโทษ ติเตียนผู้อื่น ก็เห็นโทษและไม่กระทำมาก เพราะ มีปัญญาที่สงบจากกิเลส จนมีกำลังแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดการว่าร้าย ติเตียนผู้อื่นด้วยอกุศล นะครับ แต่ เกิดอกุศล ว่าร้าย ได้น้อยและไม่มีกำลังเท่าผู้ที่ ไม่มีปัญญา อบรมสมถภาวนาจนถึงฌานสูงสุด ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะรู้ใจผู้อื่น และ รู้อนาคตได้ เพราะไม่ได้อบรมเหตุที่สมควรแก่ผล คือ การเจริญสมถภาวนาจนถึงฌานสูงสุด และที่กล่าวว่าเป็นชาติสุดท้าย ผู้ที่จะกล่าวได้ เพราะมีปัญญามาก และรู้อนาคต ที่สำคัญที่สุด ผู้ที่จะไม่เกิดอีก เป็นชาติสุดท้าย คือ ผู้ที่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นจึงไม่ใช่ฐานะ คือ เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเป็นพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ ย่อมไม่กล่าว ว่าร้าย ติเตียน ผู้ใดในทางอกุศลเลยครับ เพราะพระอรหันต์ดับกิเลสหมดสิ้นแล้วครับ

ที่สำคัญ สัตว์โลกก็ต่างจิตต่างใจ คือ สะสมมาไม่เหมือนกัน แตกต่างกันไปตามความวิจิตรของกิเลสที่สะสมมา ดังนั้น เมื่อเห็นเขาเพ่งโทษ ติเตียนผู้อื่น หรือ พูดในสิ่งที่ตนเองไม่มี มีการรู้ใจผู้อื่น เพราะเข้าใจผิด เป็นต้น ก็ควรเห็นใจและเข้าใจในกิเลส ของผู้นั้นที่ยังมีอยู่ และตัวเราก็ไม่เพ่งโทษ ติเตียนเขา แต่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า เป็นธรรมดาของกิเลสที่มีเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น เมื่อเข้าใจดังนี้ ก็ชื่อว่ารักษาใจของเรา เพราะ สำคัญที่สุดคือใจของเรา ไม่ใช่ใจของผู้อื่น ครับ เพราะการรู้ใจตนเอง คือ รู้ด้วยปัญญา ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ไช่เราในขณะที่คิดนึก เป็นต้น เป็นทางที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อันเป็นทางที่เป็นไปในการดับกิเลส ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่ควรจะได้ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง คือ พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะพระธรรมทุกคำ เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจ จริงใจที่จะศึกษาอย่างแท้จริง เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว ใครจะกล่าวอย่างไรด้วยความเห็นที่ผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็จะไม่คล้อยตามความคิดเห็นที่ผิด นั้น เพราะพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ตกไปในฝ่ายที่ผิดได้ แม้แต่ในเรื่องของการระลึกชาติได้ ก็ดี การที่จะเกิดมาเป็นชาติสุดท้าย ก็ดี ไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินว่า เขาระลึกชาติได้ เขาจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ก็จะเป็นจริงอย่างนั้น

ตามความเป็นจริงแล้ว การระลึกชาติได้ เป็นผลของการอบรมเจริญสมถภาวนา ซึ่งเป็นการอบรมเจริญความสงบของจิต ในการอบรมเจริญสมถภาวนานั้น ก็จะขาดปัญญาไม่ได้เลย ส่วนการเกิดเป็นชาติสุดท้าย ต้องเฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น เป็นผลของการอบรมเจริญวิปัสสนา พระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ก่อนที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์นั้น ก็ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นๆ ก่อน และที่สำคัญ หนทางที่จะเป็นไปเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ อันเริ่มจากความเข้าใจถูกเห็นถูก ถ้าไม่ดำเนินตามหนทางดังกล่าวนี้ ไม่มีทางที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ คนอื่นจะกล่าวอย่างไร ก็เป็นไปตามการสะสมของเขา เมื่อเราได้ศึกษาพระธรรมเข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งใดคือสิ่งที่ผิด ก็จะไม่คล้อยตามในสิ่งที่ผิด พร้อมกับมีความเห็นใจในบุคคลผู้ที่ประพฤติที่ไม่สมควรประการต่างๆ ด้วย และพึงเป็นผู้มีความหนักแน่นมั่นคง จริงใจที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกต่อไป ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 11 เม.ย. 2555

คนที่ไม่มีคุณธรรม ว่าร้ายคนอื่น จะเป็นชาติสุดท้ายได้อย่างไร

คนที่เป็นคนดีมีคุณธรรม เขาจะไม่อวดความดีของตน หรือ สิ่งที่ตนเองบรรลุ มีแต่จะปกปิดไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตนเองได้บรรลุธรรม เช่น พระภิกษุ ๒ รูป เดินด้วยกัน รูปหนึ่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ และ อีกรูปหนึ่งเดินตามก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Noparat
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว

พระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ตกไปในฝ่ายที่ผิดได้

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jeed049
วันที่ 15 เม.ย. 2555

ขอบพระคุณค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ