ทำไมพระถึงมียศคะ.
อยากทราบจริงๆ ๆ ค่ะ
ทำไมถึงต้ังยศให้พระคะ.
ยศนี้คือกิเลสตัวหนึ่งใช่ไหมคะของคนที่บวชเป็นพระ.
คำว่า "ยศ" หมายถึง ความงาม, ความดี, เกียรติยศ, ชื่อเสียง, ความยิ่งใหญ่ฯ ซึ่งยศแบ่งเป็น ๓ อย่าง คือ อิสริยยศ ๑ บริวารยศ ๑ เกียรติยศ ๑
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เป็นนักบวช ทรงประกอบด้วยพระยศใหญ่ แต่พระองค์ไม่ติดในยศ พระอรหันต์สาวกทั้งหลายท่านก็มีตำแหน่งเป็นผู้เลิศทางด้านต่างๆ ตามอัธยาศัยที่สะสมมา แต่ท่านไม่ติดในยศ ถ้าผู้ใดติดในยศ สภาพจิตในขณะนั้นเป็นอกุศลธรรม มีโทษ มีทุกข์เป็นผล
ในสมัยครั้งพุทธกาล พระภิกษุทั้งหลายไม่มียศตำแหน่ง เป็นพระครู เจ้าคุณหรือสมเด็จฯ เมื่อสมัยล่วงกาลผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน ทางการก็ได้ตั้งตำแหน่ง ยศชั้นต่างๆ ให้แก่พระภิกษุที่ท่านมีหน้าที่ในการปกครองของสงฆ์ ดังนั้นถ้าพระภิกษุท่านมียศ แต่ไม่ติดในยศ ย่อมไม่มีโทษในทางธรรมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระภิกษุเป็นผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเข้าสู่เพศที่สูงกว่าเพศคฤหัสถ์ คือ เพศบรรพชิต เพื่อมุ่งศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนแองเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพื่อมุ่งอย่างอื่น
สำหรับเรื่องยศนั้น ยศจริงๆ ควรจะเป็นคุณความดีประการต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใด ความดี ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชมยกย่องสรรเสริญ ถึงแม้จะมียศ (อย่างที่เข้าใจกัน เป็นตำแหน่ง ฐานะต่างๆ เป็นต้น) แต่ไม่มีคุณความดีเลย ก็ไม่มีอะไรที่ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ หรือ แม้ไม่มียศตำแหน่งอะไรเลย แต่ก็สามารถที่จะเป็นคนดี น้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงามได้ ในขณะที่ความดีเกิดขี้น ก็ได้ชื่อว่า มียศ แล้ว นั่นก็คือ มีเกียรติยศที่เป็นคุณความดี นั่นเอง
เรื่องยศ หรือ สมณศักดิ์ของพระภิกษุ ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ เป็นไปตามที่มหาเถรสมาคมกำหนดไว้ตามคุณสมบัติ มียศพระครู เจ้าคุณชั้นต่างๆ เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพระภิกษุนั้นว่ามีความติดข้องเพลิดเพลินหรือไม่อย่างไร เพราะประโยชน์ของการบวชไม่ใช่อยู่ที่เพื่อได้ยศตำแหน่ง แต่เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ยศ ที่เป็นเกียรติยศ คือ ชื่อเสียง อันเกิดจากคุณความดี ส่วนอิสริยยศเป็น ยศ คือความยิ่งใหญ่ เป็นอิสระเหนือบุคคลอื่น มีพระราชา เป็นต้น และ บริวารยศ คือ มีบริวารมากมาย ซึ่ง ยศทั้งหลายตามที่กล่าวมา ก็มีทั้งยศที่สมมติกัน ตั้งขึ้นมา และยศที่เกิดจากคุณความดี และ ชื่อเสียงจากบัณฑิตยกย่อง ดังนั้น ผู้ที่เป็นคนดี มีปัญญา เป็นบัณฑิต แม้จะไม่มียศโดยสมมติที่แต่งตั้ง แต่ก็มียศ คือ คุณความดี แม้จะมีใครรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ก็มี ยศคือความดี ที่เป็นเกียรติยศกับตนเองที่เกิดขึ้นแล้วครับ และการถือประมาณ คือ การยกย่อง แต่งตั้ง สรรเสริญโดยคนพาล ไม่เป็นประมาณคือ เชื่อถือไม่ได้ แต่การสรรเสริญ ยกย่อง ของผู้มีปัญญา เป็นบัณฑิตเป็นประมาณเชื่อถือได้ และที่สำคัญที่สุด คนจะประเสริฐ เป็นคนดี มีชื่อเสียง มียศ ไม่ได้อยู่ที่สมมติ ชาวโลก แต่งตั้งกัน ที่เป็นชื่อนำหน้า แต่อยู่ที่การประพฤติทางกาย วาจาและใจ รวมทั้งคุณธรรมในจิตใจ ที่จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเป็นมนุษย์ คือ ความเป็นผู้ประเสริฐ ครับ
เกียรติยศที่สำคัญ จึงมุ่งหมายถึงคุณความดีในจิตใจ แม้จะไม่มีใครรู้ แต่ ความดีที่เกิดขึ้นแล้วนั่นแหละ เป็นยศ ที่ประเสริฐแล้ว ครับ แม้จะไม่มีชื่อ สมญานามอะไรเลยก็ตาม เพราะการกระทำอะไรก็ตาม แม้การตั้งชื่อ ก็สะท้อนให้เห็นว่า เพื่อความเป็นตัวตน เพิ่มกิเลส หรือ ละความเป็นตัวตน หรือ ละกิเลส ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ยศ เป็นรูปธรรม กิเลส เป็นนามธรรม ... ยศ จึงไม่ใช่กิเลส แต่เป็นที่ตั้งของกิเลสได้
ในโลกวิปัตติสูตร กล่าวว่า โลกธรรม ๘ มียศ เป็นต้น ย่อมเกิดได้ทั้ง ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ พระธรรมและอริยสาวกผู้ได้สดับ แต่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมยินดียินร้ายในยศนั้น จึงเป็นทุกข์ ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ ท่านละความยินดียินร้ายได้แล้วเด็ดขาดอย่างนี้ ย่อมพ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมพ้นไปจากทุกข์
เป็นธรรมดาของโลก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ได้ยศ เป็นผลที่มาจากบุญกุศลที่เขาได้ทำไว้แล้ว หรือ เสื่อมยศ ก็มาจากผลของอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วเช่นกัน ที่สำคัญ ยศที่แท้จริงต้องเป็นคุณธรรม ความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ประเสริฐที่สุด ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ