ได้ยินแล้วคิด_30
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ได้ยิน ท่าน อ.สุจินต์ แสดง "อาการของผู้ขโมยพระธรรม" ได้ยินแล้วคิด ... อย่างไร
กราบเท้าบูชาคุณ ท่าน อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนากุศลเจตนาทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของท่านผู้รู้ ผู้รู้ ในที่นี้หมายถึง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด เจริญที่สุดในโลก ทั้งพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณ เมื่อเป็นคำสอนของท่านผู้รู้ ก็จะต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ ความรู้ความเข้าใจ จึงจะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ศึกษาให้เข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อะไร พระองค์ทรงสอนให้สาวกรู้อะไร เป็นต้น ความรู้ความเข้าใจ เกิดเองไม่ได้ คิดเองไม่ได้ แต่ต้องมาจากเหตุ คือ การฟัง การศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เป็นการเริ่มต้นด้วยการศึกษาในขั้นของปริยัติ รอบรู้ในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง บุคคลผู้เข้าใจในปริยัติอย่างถูกต้อง ด้วยการฟัง การศึกษาพระธรรม ก็สามารถดำเนินไปถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เหมือนอย่างพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต
แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ศึกษาผิด เข้าใจผิด เห็นผิดว่าไม่ต้องศึกษาปริยัติ ไม่ต้องมีปริยัติ ไปปฏิบัติเลย อย่างนี้ เป็นการบิดเบือนพระธรรมคำสอนอย่างเห็นได้ชัด บุคคลประเภทนี้ เป็นมหาโจรผู้ปล้นพระศาสนา เป็นผู้ทำลายพระศาสนา เพราะเป็นความเห็นที่ไม่ตรงตามคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่น เนื่องจากว่าตนเองเข้าใจผิด แล้วยังเผยแพร่ความเห็นที่ผิดให้ผู้อื่นเข้าใจผิดตามไปด้วย และนอกจากนั้น บุคคลผู้ที่ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วเป็นผู้ยกตน กล่าวว่า สิ่งนี้ไม่ใช่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่ตนเองคิดขึ้นเอง โดยไม่ได้กล่าวอ้างถึงพระองค์เลย นี้ก็เป็นอาการของการขโมยพระธรรม เพราะพระธรรมเป็นธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว แต่บุคคลผู้มีความปรารถนาลามก มุ่งลาภสักการะ ไม่กล่าวถึงพระองค์ แต่กลับกล่าวว่า นั่นไม่ใช่พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นสิ่งที่ตนเองคิดได้เอง ก็เป็นหนึ่งในมหาโจร เช่นเดียวกัน เป็นผู้ขโมยพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ในรายการแนวทางเจริญวิปัสสนา ที่อธิบายถึงการขโมยพระธรรม มีดังนี้
"การที่จะรู้พระพุทธศาสนาจริง มีหนทางเดียว คือ ต้องศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด รอบคอบ โดยที่ไม่ใช่เพียงแต่ฟังจากแต่ละบุคคล แต่ต้องศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎก ผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรมแล้วคิดว่า จะเข้าใจพระธรรมได้โดยไม่ศึกษา ผู้นั้นก็เป็นผู้ประมาทพระปัญญาคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงพระธรรม ว่า ไม่ต้องศึกษาก็เข้าใจได้
ถ้าพุทธบริษัทไม่ศึกษาพระธรรม และเอาพระธรรมเพียงเล็กน้อยมาเพิ่มเติมความเห็นของตนเองทั้งปริยัติและปฏิบัติ ก็จะเห็นได้ว่า ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจจริงๆ ในพระธรรม แต่ว่าเหตุใดจึงทำอย่างนั้น แสดงให้เห็นว่า การขโมยพระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น เพื่อใช้สอยลาภสักการะและการยกย่องสรรเสริญ ก็มี
ด้วยเหตุนี้ ทุกท่านจึงต้องเป็นผู้ตรงต่อพระธรรม และมีความจริงใจต่อการศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรม และละคลายขัดเกลาอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่า ทุกคนที่ศึกษาพระธรรมย่อมรู้ว่า ตนเองมีอกุศล ถ้าไม่มีอกุศล คงจะไม่ศึกษาพระธรรมแน่ แต่อกุศลที่คิดว่ารู้แล้ว ความจริงแล้วละเอียดมากกว่านั้นมากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่พิจารณาโดยรอบคอบ ก็อาจจะไม่เห็นความละเอียด"
จึงควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชน จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจ แล้วน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็จะเป็นการช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนามิให้เสื่อมสูญ เพราะเหตุว่า พระพุทธศาสนาจะเจริญก็อยู่ที่พุทธศาสนิกชนเท่านั้น คือจะเจริญด้วยการศึกษาและน้อมประพฤติปฏิบัติตามด้วยความจริงใจของพุทธศาสนิกชน นั่นเอง ไม่ได้อยู่ที่สิ่งอื่นเลย ครับ.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
องค์แห่งมหาโจร ๕ ประการ [โจรสูตร]
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออธิบาย ตามนัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึง เรื่องการขโมยพระธรรม ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ดังนี้ครับ
ซึ่งความเป็นมาใน เรื่องการขโมยพระธรรม มาจาก
พระสูตรเรื่องที่ว่า สุสิมสูตร ในนิทานวรรค
ขอเล่าพอสังเขปเพื่อให้เข้าใจอาการขโมยพระธรรม ดังนี้ครับ
จากสุสิมสูตร สมัยนั้น พระพุทธเจ้าและพระสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้เจริญด้วยลาภ สักการะ และปัจจัย ๔ อย่างมาก ส่วนพวกนอกศาสนา ต่างก็เสื่อมลาภ สักการะและปัจจัย ๔ พวกนอกศาสนาจึงคิดว่า เราควรได้ลาภ สักการะ และปัจจัย ๔ ด้วยการศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า และก็มาแสดงเอง เพื่อที่จะได้ ลาภ สักการะและปัจจัย ๔ กลุ่มนอกศาสนา จึงได้ส่งผู้ที่ฉลาดที่จะเรียนได้เร็วเข้าไปหาพระอานนท์และขอบวช ชื่อว่า สุสิมปริพาชก เพื่อให้สุสิมปริพาชก เรียนธรรมกับท่านพระอานนท์มามากๆ แล้วก็จะได้สึกออกมา เอาคำสอนนั้นมาสอนเอง เพื่อที่จะได้ลาภ สักการะ ปัจจัย ๔ พระอานนท์ได้พา สุสิมปริพาชก มาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูด้วยพระปัญญา ทรงเห็นว่า สุสิมะ จะบวชไม่ใช่ศรัทธาในเรา ในพระธรรมและพระสงฆ์เลย แต่เขาต้องการที่จะขโมยพระธรรมของเรา เพื่อลาภ สักการะ แต่พระองค์ทรงพิจารณาด้วยปัญญาว่า หากเขาบวชแล้วจะได้ประโยชน์ไหม รู้ว่า เขาจะสำนึกได้ จากพระธรรมของเราและจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ สุสิมปริพาชกบวช เมื่อบวชแล้ว คราวหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย หลายรูป กล่าวคุณของตนต่อหน้าพระพุทธเจ้าว่าได้บรรลุธรรมแล้ว ด้วยความสงสัยของสุสิมปริพาชก ก็เข้าไปถามพระภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านแสดงฤทธิ์ได้ไหม พระภิกษุผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านไม่ได้อบรมสมถภาวนามา ทำให้ท่านไม่มีฤทธิ์ ท่านก็ตอบว่าไม่ได้ และพระอรหันต์ท่านก็ตอบว่า ท่านหลุดพ้นด้วยปัญญา คือ บรรลุธรรมแต่ไม่ได้ฤทธิ์ ท่านพระสุสิมะ ไม่เข้าใจ จึงเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้แสดงธรรมให้ท่านพระสุสิมะฟัง จนท่านพระสุสิมะเข้าใจธรรม และขออดโทษ ในสิ่งตนล่วงเกินและการตั้งจิตไว้ผิดที่จะเข้ามาบวชเพียงเพื่อจะทรงจำพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และสึกออกไปเพื่อที่จะได้อาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้าและได้ลาภสักการะ พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์ที่ว่า
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 378
[๓๐๓] พ. เอาเถิด สุสิมะ โทษได้ตกถึงเธอ เท่าที่โง่ เท่าที่หลง เท่าที่ไม่ฉลาด เธอบวชขโมยธรรมในธรรมวินัยที่เรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ เปรียบเหมือนเจ้าหน้าที่จับโจรผู้ประพฤติผิดมาแสดงตัวแก่พระราชา แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ โจรคนนี้ ประพฤติผิดแด่พระองค์ ขอพระองค์จงทรงลงอาชญาตามที่พระองค์ทรงพระประสงค์แก่โจรคนนี้ เถิด พระราชาพึงรับสั่งให้ลงโทษโจรนั้นอย่างนี้ว่า ... พาออกทางประตูด้านทักษิณ พึงตัดศีรษะเสียข้างด้านทักษิณของเมือง สุสิมะเธอจะสำคัญความข้อนั้นเห็นไฉน บุรุษนั้นต้องเสวยทุกข์และโทมนัสอันมีกรรมนั้นเป็นเหตุหรือหนอ.
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๓๐๔] พ. ดูก่อน สุสิมะ บุรุษนั้นต้องเสวยทุกข์และโทมนัสอันมีกรรมนั้นเป็นเหตุ แต่การบวชของเธอผู้ขโมยธรรมในธรรมวินัยที่ตถาคตกล่าวดีแล้วอย่างนี้ นี้ยังมีผลรุนแรงและเผ็ดร้อนกว่านั้น และยังเป็นไปเพื่อวินิบาต (นรก)
จากพระสูตรนี้ แสดงถึงอาการของผู้ขโมยพระธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผู้ที่เข้ามาบวช หรือ แม้ศึกษาธรรม ด้วยจิตที่ตั้งไว้ผิด คือ เพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญ การศึกษาธรรม การฟังพระธรรม การแสดงพระธรรม เพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญ เพื่อได้ ไม่ใช่เพื่อสละ ชื่อว่า เป็นผู้ขโมยพระธรรม เพราะ ขโมยพระธรรมของพระองค์ เพื่ออย่างอื่น คือ เพื่อลาภ สักการะ เพราะพระธรรมของพระองค์ ผู้ที่คิดดี ย่อมตั้งจิตไว้ถูกต้อง คือ ไม่คิดที่จะขโมย แต่คิดที่จะศึกษาเพื่อละคลายกิเลส เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาเท่านั้น การศึกษาพระธรรม จึงต้องตรงและจริงใจ ผู้ที่ไม่ตรง และไม่จริงใจในการศึกษาพระธรรม คือ ไม่ตรงต่อความดี ไม่ตรงต่อจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ไม่จริงใจที่จะศึกษาเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อละคลายกิเลส มุ่งศึกษาจดจำธรรม ดังเช่น สุสิมปริพาชก บวชเข้ามา เพื่อที่จะขโมยพระธรรม ด้วยการตั้งจิตไว้ผิดที่จะจำพระธรรม เพื่อประโยชน์ คือ แสดงพระธรรมอันจะได้มาซึ่งลาภ สักการะ
นี่คือ อาการของผู้ขโมยพระธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
การศึกษาธรรมด้วยตั้งจิตไว้ผิด ด้วยอกุศลจิต เพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญ หรือศึกษาเพื่อได้ ไม่ใช่เพื่อสละกิเลส จึงชื่อว่า อาการของผู้ที่ขโมยพระธรรม
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
การที่จะรู้พระพุทธศาสนาจริง มีหนทางเดียว คือ ต้องศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด รอบคอบ โดยที่ไม่ใช่เพียงแต่ฟังจากแต่ละบุคคล แต่ต้องศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎก ผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรมแล้วคิดว่า จะเข้าใจพระธรรมได้โดยไม่ศึกษา ผู้นั้นก็เป็นผู้ประมาทพระปัญญาคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงพระธรรมว่า ไม่ต้องศึกษาก็เข้าใจได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิต ของพี่แก้วตาที่ตั้งกระทู้
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
ขอแสดงความเห็นด้วยคน
ในชีวิตประจำวัน จะได้ยินบ่อยๆ โดยเฉพาะนักการเมืองและนักวิชาการ เมื่อจะพูดให้เป็นแรงจูงใจเพื่อประโยชน์ของตนเองแล้ว มักอ้างบ่อยๆ ว่าเป็นพระพุทธพจน์ เป็นการขโมยพระธรรม ได้ยินแล้วคิดอย่างนี้ ....ฯ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ได้ยิน ... คำว่า ... อาการของผู้ขโมยพระธรรม ... แล้วคิดว่าน่าจะหมายถึงการศึกษาหรือฟังพระธรรมแล้วไม่น้อมปฏิบัติตาม ... ไม่เป็นไปเพื่อละ เช่นผู้ที่ศึกษาหรือเผยแพร่พระธรรมเพื่อ ลาภ สักการะ ยศฯลฯ ... พวกอวดอุตตริมนุษยธรรมเป็นต้นแต่เมื่ออ่านจาก
องค์แห่งมหาโจร ๕ ประการ [โจรสูตร]
น่าจะมีรายละเอียดมากกว่านั้น ... ขอผู้รู้โปรดอธิบาย
เรียนความเห็นที่ 10 ครับ
สำหรับโดยนัย มหโจร ๕ ประการ ถ้าเป็นนัย ขโมยธรรม จะอยู่ในประการที่สอง ใน ๕ ประการ ส่วนประการอื่นๆ ไม่ใช่การขโมยธรรม แต่เป็นการขโมยคุณธรรม มีอริยคุณ เป็นต้น
ซึ่งการขโมยธรรมโดยนัย มหาโจร ๕ ประการในข้อที่ ๒ คือ คนบางคนในโลกนี้แสดงธรรมจากที่พระพุทธเจ้าแสดง เมื่อผู้ฟังเกิดความเลื่อมใสในธรรมที่เขาแสดง ถามถึงว่า นี้เป็นธรรมของใคร เขากับบอกว่า เป็นธรรมของเขาเองที่คิดได้ ไม่บอกว่าเป็นธรรมที่คพระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะหวังในลาภ สักการะ ด้วยเหตุนี้ ชื่อว่าขโมยธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งกว่าจะตรัสรู้ธรรมนี้จะต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนกัป แต่ ผู้นี้กลับบอกว่าเป็นธรรมที่เขาคิดเอง จึงชื่อว่าเป็นผู้ขโมยธรรมของพระองค์ ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก
[เล่มที่ 2] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 611
สองบทว่า อตฺตโน ทหติ มีความว่า ภิกษุผู้เลวทราม เทียบเคียงบาลีและอรรถกถา อยู่ในท่ามกลางบริษัท กล่าวพระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ด้วยเสียงอันไพเราะ ถูกวิญญูชนผู้เกิดมีความอัศจรรย์ใจไต่ถามในที่สุดแห่งธรรมกถาว่า โอ ! ท่านผู้เจริญ บาลีและอรรถกถา บริสุทธิ์, พระคุณเจ้าเรียนเอาในสำนักของ ใคร? ดังนี้ กล่าวว่า ใครจะสามารถให้คนเช่นเราเรียน แล้วไม่แสดงอาจารย์ ประกาศธรรมวินัยที่ตนแทงตลอดเอง คือ ที่ตนได้บรรลุด้วยสยัมภูญาณ. ภิกษุผู้ขโมยธรรมที่พระตถาคตทรงบำเพ็ญบารมี สิ้น ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัป ได้ตรัสรู้โดยแสนยากลำบาก นี้ จัดเป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒.
"... ต้องเป็นผู้ตรงต่อพระธรรม และมีความจริงใจต่อการศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรม และละคลายขัดเกลาอกุศลของตนเอง ..."
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขโมยธรรม คือ การแสดงธรรมไม่ได้อ้างที่มา ไม่ได้อ้างเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ค่ะ