ชาติที่แล้ว ชาตินี้ และชาติหน้า
ชาติที่แล้ว ชาตินี้ และชาติหน้า อธิบายอย่างไรจึงจะสมเหตุสมผลได้ครับ
ผมเคยต้องอธิบายถึง การเกิดใหม่ และชาติที่แล้ว แต่คิดว่าตัวเอง ยังอธิบายได้ไม่เป็นเหตุผล ดีเท่าที่ควรครับ รบกวนท่านผู้รู้ช่วย แสดงธรรม ด้วยครับ จะขออนุโมทนาอย่างยิ่งครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรม ไม่สาธารณะกับทุกคน ผู้ที่สะสมความเห็นถูก ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงจะเชื่อ และเห็นคล้อยตามในเรื่องภพภูมิข้างหน้า มี นรก สวรรค์ หรือ ชาติหน้าเป็นต้นครับ แต่ผู้ที่ไม่ได้สะสมปัญญา ศรัทธามาในพระพุทธศาสนา ก็เป็นแรื่องยากที่จะเชื่อ เพราะเหตุว่าเหตุการณ์ หรือ สถานที่นั้น ชาติหน้า เขายังไม่เห็น และเวลานั้นยังมาไม่ถึงครับ อย่างไรก็ตาม ก็ขออธิบาย ตามแนวให้พอเข้าใจในเรื่อง สวรรค์และนรก ว่ามีจริง หรือไม่ และในเรื่องชาติหน้าครับ
ชาติหน้า และ นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสวรรค์และนรก และชาติหน้า เพื่อให้เห็นว่ากรรมมี ผลของกรรมก็ย่อมมี กรรมดีเมื่อได้ทำ ผลก็ย่อมมี กรรมชั่วเมื่อได้ทำลงไป ผลก็ย่อมมีจากผลของการทำชั่ว หากเราจะตัดสินสิ่งที่มีจริง ด้วยการเห็นเท่านั้น หากไม่ได้เห็นก็บอกว่าไม่มีจริง คงตัดสินแค่นั้นไม่ได้ครับ สิ่งที่ไม่เห็นแต่มีจริงก็ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของเหตุ ผล และเมื่อบุคคลเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจึงเชื่อ แต่สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมเชื่อในสิ่งที่แม้ไม่ได้เห็น เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลที่เป็นไปตามความเป็นจริง
ในโลกมนุษย์ที่เห็นๆ กันอยู่ ทำไม บางคนถึงได้รับความสุข เกิดมาพบสิ่งดีๆ เป็นส่วนมาก ทำไมบางคนถึงได้รับความทุกข์ทรมานทางกายมากกว่าคนอื่น ทุกอย่างต้องมีเหตุ ไม่ใช่เกิด ขึ้นมาลอยๆ ครับ ในการได้รับสุข ได้รับทุกข์ ผู้ที่ได้รับความสุขทางกายที่ดี ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ดีคือการกระทำกุศลกรรม ทำสิ่งที่ดี ผู้ที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีทางกาย หรือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ไม่ดี เกิดจากการกระทำที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลกรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของเหตุและผล ทำกรรมดีก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับสิ่งที่ไม่ดีครับ นี่แสดงถึงว่า เมื่อมีเหตุ ก็ย่อมมีผล
ซึ่งในเรื่องของกรรมนั้น การกระทำที่เป็นกรรม ไม่เป็นโมฆะ คือ จะต้องให้ผล ตามสมควรแก่กรรม แต่กรรมมีกาลเวลาให้ผล กรรมบางอย่างให้ผลชาตินี้ กรรมบางอย่างให้ผลชาติหน้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาติถัดไป ดังนั้น เมื่อมีการทำกรรม ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม และหากกรรมนั้นให้ผลชาติหน้า ก็ให้ผลเมื่อตายจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่เช่นนั้น การกระทำที่ดี หรือ ไม่ดีก็เป็นโมฆะไปหมด หากว่า ชาติหน้าไม่มีจริง การฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ก็ไม่เป็นไร ตายแล้วจบ การทำความดี ก็ไม่มีผล ตายแล้วจบ แต่ความจริง เมื่อมีการทำกรรมแล้ว ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม ซึ่งเมื่อยังไม่ให้ผล ยังไม่ได้รับผลของกรรม จะกล่าวว่าไม่มีกรรมไม่ได้ และสิ่งที่ยังไม่เกิด จะปฏิเสธว่าไม่มีไม่ได้ หากไม่มีชาติหน้า ก็เท่ากับว่า ชาติก่อนก็ไม่มี เพราะ ชาตินี้ ก็คือ ชาติหน้าของชาติก่อนนั่นเองครับ และหากเป็นเช่นนั้น สัตว์โลกก็เกิดมาเพียงชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนก็ไม่มี
แต่ทำไมชาตินี้บางคนถึงมีความแตกต่างกันทั้งร่างกายก็แตกต่างกัน ยศ ตำแหน่ง ฐานะ แตกต่างกันเพราะอะไร และการได้รับสิ่งที่ดี ไม่ดีในชาตินี้ก็แตกต่างกันเพราะอะไร หากไม่ใช่เพราะมีการทำกรรมในอดีตชาติไว้นั่นเองครับ ดังนั้น ก็ต้องมีชาติก่อนที่มีการทำกรรม เมื่อมีชาติก่อน ก็ต้องมีชาติหน้า เพราะชาตินี้ คือ ชาติหน้าของชาติก่อนครับ
แม้ส้ม เราชิมลูกเดียว อีกสิบลูกที่เหลือจะบอกว่ามีรสเดียวกันก็คงไม่ได้ อันนี้ก็ถูกต้องในส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ยังไม่ถึง จะสรุปว่าสิ่งนั้นไม่มีครับ
คำถามคือ เมื่อวานมีไหมครับ มี วันนี้มีไหมครับ ก็มีอยู่ และจะมีพรุ่งนี้ไหม ก็อาจบอกว่าไม่มีก็ได้ และถ้ากล่าวว่า เมื่อวานมี วันนี้มี ซึ่งเมื่อวาน วันนี้ก็มีอยู่แล้ว ปรากฏผ่านไปแล้วด้วย นั่นก็เท่ากับแสดงว่า มีพรุ่งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า วันนี้ คือ พรุ่งนี้ของเมื่อวานนั่นเองครับ
ขออนุโมทนา
และถ้าละเอียดตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง หากค่อยๆ ย่อยระยะเวลายาวนาน ที่เป็นชาติหน้า ก็ย่อยออกมาเป็น ๓๐ ปีข้างหน้า ๒๐ ปีข้างหน้า ๑๐ ปีข้างหน้า ๑ ปีข้างหน้า ๑ เดือนข้างหน้า พรุ่งนี้ ๖ ชม.ข้างหน้า ๑ ชั่วโมงข้างหน้า ๑ นาทีข้างหน้า จะมีอีก ๑ นาทีข้างหน้าหรือไม่ครับ ๑ วินาทีข้างหน้า จะมีอีก ๑ วินาทีข้างหน้าหรือไม่ แม้ยังมาไม่ถึง และที่สำคัญที่สุด ที่มีชาติหน้า มีเวลา ก็คือ สภาพธรรมที่เป็น จิตที่เกิดดับไปทีละขณะ ชาติหน้า ก็คือ จุติจิต (ตายชาตินี้) ดับไป ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ (เกิดชาติหน้า) ก็เป็น จิตที่เกิดดับสืบต่อทีละขณะนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อมีเหตุปัจจัย มีกิเลสอยู่ ก็มีการเกิดดับของจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน ทำให้มีระยะเวลา มี ๑ วินาที มีพรุ่งนี้ มีปีหน้า มีชาติหน้า เพราะมีการเกิดดับของจิตทีละขณะนั่นเองครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิญญาตนว่าเป็นชาวพุทธก็คือผู้ที่ศรัทธาคือเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ พระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ประกอบด้วยเหตุผลพิสูจน์ได้ พระไตรปิฎกคือ คัมภีร์ที่จารึกพระธรรมของพระพุทธองค์ และในพระไตรปิฎกมีกล่าวกรรมและผลของกรรม
ภพภูมิต่างๆ ที่เป็นที่เสวยผลของกรรมดี กรรมชั่ว การเกิดสืบต่อกันของขันธ์ อายตนะ เป็นต้น ชื่อว่า สังสารวัฏฏ์ ในชาตินี้ ก็มีการเกิดสืบต่อกันอยู่จึงมีวันนี้ เมื่อวานนี้ สัปดาห์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ๑๐ ปีที่แล้ว ๒๐ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ถึง ๑๐๐ ปีที่แล้วก็มี และถอยไปเรื่อยๆ อีกก็คือ ชาติที่แล้ว ส่วนอนาคตก็คือการเกิดสืบต่อของนามรูปที่เรียกว่า ขันธ์ เป็นต้น นั่นเอง ที่สืบต่อจากขณะนี้ก็คือ เย็นนี้ก็มี พรุ่งนี้ก็มี สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ๑๐ ๒๐ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ถึง ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็มี เพราะยังมีเหตุและปัจจัยให้เกิดขันธ์ ขันธ์ก็ยังเกิดอีกต่อไป เป็น ๒๐๐ ๕๐๐ พันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปีข้างหน้าก็มี นี่คือหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ประกอบด้วยเหตุและผล การที่ไม่เชื่อว่ามีชาติหน้านั่นหมายถึงการไม่เชื่อเหตุและผลและไม่เชื่อคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ ซึ่งเป็นผู้มีความเห็นผิด และสุ่มเสี่ยงต่อการประพฤติทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้โดยง่าย เพราะเข้าใจว่าชาติหน้าไม่มี นั่นเอง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาท่านผู้รู้ที่ให้ความกระจ่าง นับเป็นเหตุผล ที่ควรแก่การเชื่อ (สำหรับผู้มีปัญญา) จริงๆ ๆ ครับ เป็นพระคุณยิ่งที่ผมจะนำไปถ่ายทอดต่อลูกศิษย์ต่อไปครับ
ขออนุโมทนา
อดีต อนาคต ปัจจุบัน มีใช่ไหม ชาตินี้ และชาติหน้าก็มีเหมือนกัน โลกมนุษย์ก็ไม่ใช่มีแค่โลกเดียว โลกอื่น จักรวาลอื่น ที่เรามองไม่เห็นก็มีเช่นกัน อย่างเช่นสวรรค์ก็มีหลายชั้น ตามกำลังของบุญกรรมที่จะนำเกิดค่ะ
ถ้าเห็นขณะนี้แล้วดับไป ไม่มีจิตอื่นเกิดขึ้นรู้อารมณ์อีกเลยฉันใด ก็ไม่ต้องมีชาติหน้า แต่ว่าก็ยังต้องมีได้ยินเสียง ต้องเกิดการคิดนึก ต้องมีธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นต่อไป เป็น จิตนิยาม
เพราะฉะนั้น ก็ยังมีปัจจัยที่เมื่อธรรมปราศไปแล้ว ต้องมีธรรมที่เกิดสืบต่อทันทีคือ จิต และ เจตสิกดวงก่อนๆ ที่ดับไปแล้ว เป็นอนันตรปัจจัย เป็นนัตถิปัจจัยให้จิตดวงหลังๆ เกิดขึ้นรู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อตายแล้ว คือ จุติจิตทำกิจ ซึ่งก็เป็นจิตประเภทหนึ่งเท่านั้น
แม้จุติจิตทำกิจแล้วหมดไป ปราศไป ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น สืบต่อทันที ซึ่งจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เป็นอนันตรปัจจัย เพราะไม่มีพืชเชื้อคือ อนุสัยกิเลส แล้วเมื่อดับแล้ว จิตอื่นก็เกิดสืบต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีผู้ที่ไม่มีอนาคต ก็คือจุติจิตของพระอรหันต์
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
วันนี้ก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน ชาติหน้าเราอาจจะไม่ปักใจเชื่อสนิท ว่ามันจะมีหรือไม่มี เหมือนกับวันพรุ่งนี้ เรามองไม่เห็น แต่ว่าวันพรุ่งนี้มันมี มันมีให้เราเห็นอย่างสืบเนื่องกัน วันนี้ก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน
ถ้าชาตินี้มันก็คือชาติหน้าของชาติก่อน คนไม่เชื่อ เรื่องชาตินี้ชาติหน้า มีสิทธิ์ที่จะทำชั่วได้ง่าย เพราะเขาจะไม่รับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำไม่ดีลงไปครับ เขาจะรับแต่ชอบ ไม่ยอมรับผิด โปรดพิจารณาดูเถิดครับ