ผู้เพิ่งจากไป....คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์....
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นประธานในพิธีฌาปนกิจศพ คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ (๒๔ เมษายน ๒๔๗๑ - ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕) ณ ฌาปนสถาน กองทัพอากาศ บางเขน เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา โดยมีสหายธรรมจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก
คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ เป็นผู้ที่ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว ทุกคนจะเห็นท่านที่มูลนิธิฯ ทุกๆ วันเสาร์และอาทิตย์ นอกจากท่านจะเคยเป็นผู้หนึ่งที่อาสาขับรถรับส่งท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมตามสถานที่ต่างๆ แล้ว ท่านยังเป็นผู้ที่เจริญกุศล ประการต่างๆ กับมูลนิธิฯ โดยตลอดมา มิได้ขาด คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ เป็นกำลังสำคัญหนึ่งที่ทำให้การก่อสร้างอาคารของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาสำเร็จลงได้ด้วยความเรียบร้อยงดงาม (จากการที่ท่านเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง) ทั้งเป็นผู้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่พระธรรมทางสถานีวิทยุมาโดยตลอดจวบจนปัจจุบัน ที่ลูกๆ ของท่านก็ยังบริจาคเงินสนับสนุนตามคำสั่งเสียของท่านก่อนที่ท่านจะถึงแก่กรรม
ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของคุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ และ ขออุทิศกุศลทุกประการที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วนั้น แด่คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ ได้ร่วมอนุโมทนาในกุศลนั้นด้วยครับ และขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่าน ที่ชาตินี้ของท่านไม่สูญเปล่าแล้ว ที่ได้พบพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการถ่ายทอดด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ท่านเคารพยิ่งนั้น จนตลอดชีวิต
"...ในบรรดาบุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ ถ้าใครมีสติปัญญาที่จะพิจารณาตั้งแต่ยังไม่ชราหรือ ยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า ไม่มีใครที่สามารถจะพ้นไปจากความแก่ ความเจ็บ และ ความตาย ได้เลย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมจะเกิดความพยายาม มีความเพียร ที่จะทำให้ถึงการพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และ ความตาย คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้น แม้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่จะถึง แต่ก็มีทางที่จะถึงได้ ด้วยการอบรมเจริญปัญญาขึ้นเรื่อยๆ ..."
"...ไม่ใช่เพียงการได้รับผลของกรรมในปัจจุบันเท่านั้นที่แตกต่างกัน แม้เหตุคือกรรม (การกระทำ) ในปัจจุบัน ก็หลากหลายแตกต่างกัน ดีบ้าง ชั่วบ้าง มากน้อย ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นความวิจิตรของจิต เพราะการกระทำทุกอย่างที่ต่างกันนี้เอง จึงเป็นเหตุทำให้เกิดผลข้างหน้าแตกต่างกันออกไปด้วย ตามสมควรแก่กรรม เพราะฉะนั้น ข้อความที่ว่า “สัตวโลก เป็นที่ดูบุญและบาป และ (ดู) ผลแห่งบุญและบาป” นั้น จึงเป็นเครื่องส่องให้เห็นถึงผลซึ่งมาจากเหตุในอดีต และ เหตุในปัจจุบันที่จะส่งผลในอนาคตข้างหน้า ซึ่งไม่พ้นไปจากเรื่องของกรรม และ ผลของกรรม เลย ..."
"... เร็วยิ่งกว่ากระพริบตา ก็สามารถเปลี่ยนสภาพความเป็นบุคคลนี้ทั้งหมด จากการเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิ ไปสู่อบายภูมิ ได้ ถ้าเป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาทมัวเมา ..."
"... เมื่อยังมีภพชาติอยู่ ก็ยังต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยมีกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แต่สิ่งที่ควรสะสมจริงๆ คือ กุศลธรรม ความดีทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีที่จะทำให้สามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไป ..."
"... การแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ทำให้ไม่เห็นว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราวแล้วก็หมดไป ย่อมเป็นการแสวงในสิ่งที่ไม่ประเสริฐ เพราะ ได้มาแล้วทำให้ติดข้องยินดีพอใจ และที่สำคัญ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว บุคคลไม่สามารถนำเอาทุกอย่างเหล่านี้ไปในภพหน้าได้เลย ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ มีแต่การสะสม ทั้งที่ดีและไม่ดีเท่านั้นจะติดตามไปได้ ..."
"... มีทรัพย์สมบัติมาก ก็ตาย มีความรู้ความสามารถมาก ก็ตาย มีญาติสนิทมิตรสหายคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ มาก ก็ตาย หรือ ผู้มีชีวิตที่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ก็ตาย ตายทุกคนจริงๆ ไม่มีใครรอด แต่ใครจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยการมีโอกาสสะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ..."
"... ในขณะนี้กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะรู้ความจริงว่า วันหนึ่งเราก็จะต้องตาย ตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า การที่จะจากโลกนี้ไปนั้น จะจากไปด้วยปัญญาที่อบรมจนกระทั่งเจริญขึ้น หรือว่า จะจากไปโดยที่ว่าไม่สนใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเลย ถ้าหากไม่สนใจที่จะเข้าใจพระธรรม ก็จะจากโลกนี้ไป ด้วยความมัวเมา เพลิดเพลิน ในลาภ ยศ เป็นต้น ซึ่งก็เพียงชั่วขณะจิต จะไม่ติดตามไปถึงโลกหน้าได้เลย ..."
"... เกิดมามีความสุข ความสุขนั้นก็หมดไป อาหารอร่อยแต่ละมื้อก็หมดไป รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เราได้ยินได้ฟัง ก็หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วก็ควรจะเข้าใจความจริงอย่างนี้ว่า ถึงแม้ว่าจะจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังมีโลกหน้าหรือชาติหน้า ซึ่งต้องเกิดสืบต่อ เหมือนเมื่อวานนี้กับขณะนี้ และ พรุ่งนี้ ซึ่งจะมีต่อจากวันนี้ เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ได้สาระ ได้อะไร จากการมีชีวิตอยู่? เพราะเหตุว่า ประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิต คือ เข้าใจความจริง ซึ่งก็คือ "ธรรม" ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ..."
"... เกิดมาแล้วก็นานหลายปี ยังไม่ตาย แต่ก็จะต้องตายแน่ๆ เกิดแล้วต้องตายทุกคน ความตายไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะมาถึงเมื่อใด พระธรรมที่แสดงถึงความตาย ก็เพื่อเตือนให้ระลึกได้ว่า อย่างไรก็ต้องตาย และ จะตายเมื่อใด ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดก่อนตาย คือ ได้เข้าใจความจริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย คืออะไร มีจริงๆ หรือไม่ เหลืออะไรบ้างหรือเปล่า? ยกตัวอย่าง จิตขณะแรกในชาตินี้ (ปฏิสนธิจิต) เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละขณะก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็ไม่มีเหลือ เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์จากการที่เกิดมาแล้วต้องตาย (จะเร็วจะช้าก็อีกเรื่องหนึ่ง) อย่างน้อยในชาตินี้ ก็มีประโยชน์ที่ได้รู้ความจริง ..."
"... เกิดมาเป็นบุคคลนี้เพียงชั่วคราว แล้วก็ต้องจากไปสู่ความเป็นบุคคลใหม่ วันสุดท้ายของแต่ละคนในภพนี้ชาตินี้ต้องมาถึงแน่ๆ สิ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ จะจากไปพร้อมกับกิเลสที่มีมากๆ หรือว่า จะจากไปพร้อมกับปัญญาที่ได้อบรมเจริญขึ้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่? ..."
(ข้อความธรรมเตือนใจทั้งหมด โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์)
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 320
อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺญฺา มรณํ สุเว น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา
ควรทำความเพียรในวันนี้ทีเดียว ใครจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ เพราะการผัดเพี้ยนความตายอันมีเสนาใหญ่นั้นของเราทั้งหลาย มีไม่ได้เลย
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของ คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"... เกิดมาเป็นบุคคลนี้เพียงชั่วคราว แล้วก็ต้องจากไปสู่ความเป็นบุคคลใหม่ วันสุดท้ายของแต่ละคนในภพนี้ชาตินี้ต้องมาถึงแน่ๆ สิ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ จะจากไปพร้อมกับกิเลสที่มีมากๆ หรือว่า จะจากไปพร้อมกับปัญญาที่ได้อบรมเจริญขึ้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่? ..."
พระธรรมในแต่ละบทที่พี่วันชัยได้ยกมานั้น เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาอย่างยิ่งในมรณานุสสติกถาที่คุณวันชัยได้พรรณนามา อ่านแล้วทำให้เห็นภัยของวัฏฏะ มีโทษของการเกิด เป็นต้น และไม่ควรประมาทในอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งจะทำให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้จริง ขอความดีงามที่เกิดขึ้นในใจจากการอ่านมรณานุสสติกถา ในครั้งนี้ จงมีส่วนแด่คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ ด้วยครับ
ขออุทิศกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้วในวันนี้ แด่คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์
ขอจงอนุโมทนาในบุญด้วยเทอญ
และ สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยด้วยค่ะ
"... เกิดมา ควรที่จะได้พิจารณาว่า ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ได้สาระ ได้อะไร จากการมีชีวิตอยู่? เพราะเหตุว่า ประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิต คือ เข้าใจความจริง ซึ่งก็คือ "ธรรม" ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ..."
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
" .... สิ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ จะจากไปพร้อมกับกิเลสที่มีมากๆ หรือว่า จะจากไปพร้อมกับปัญญาที่ได้อบรมเจริญขึ้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่? ..."
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ควรทำความเพียร ในวันนี้ทีเดียว ใครจะรู้ว่า ความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ เพราะการผัดเพี้ยนความตายอันมีเสนาใหญ่นั้นของเราทั้งหลายมีไม่ได้เลย"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตวิริยะของคุณพี่วันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ