ทานบารมี ของพระเวสสันดร?
ด้วยความเคารพอย่างสูง
มีผู้ตำหนิถึงพระเวสสันดรว่า พระองค์มิบังควรที่จะถวายลูก ถวายเมียให้แก่ชนอื่น เหตุว่า การทำเช่นนั้น ไม่เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของชนทั่วไป เป็นการแสดงออกถึงความไม่มีอาลัยไยดีอะไรต่อกัน ถึงขนาดมีปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า ผมศรัทธาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มิอาจทำใจให้ศรัทธาเลื่อมใสต่อพระเวสสันดรได้
โดยส่วนตัวของผมแล้ว มีความคิดเห็นว่า พระโพธิสัตว์นั้น ทรงหนักแน่นเหลือเกิน ต่อการสั่งสมอบรมคุณงามความดีในแต่ละชาติ ที่พระองค์ทรงเป็นถึงโอรสของกษัตริย์ ทรงพระราชทานบุตรและธิดา เพื่อเป็นทาสผู้รับใช้ใกล้เท้าของพราหมณ์ผู้มักมาก หาศีลธรรมมิได้ ทั้งเจ้าเล่ห์แสนกล ทรงหนักแน่นจริงๆ
ผมมองประเด็นนี้ว่า การให้สิ่งของใดๆ ก็ตาม แก่คนที่ไม่ยอมช่วยเหลือตัวเองเลยนั้น อาจเกิดผลเสียตามมาก็เป็นได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้แต่การสะสมคุณความดี เพื่อถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมจะเป็นเรื่องที่สุดจะประมาณได้ของปุถุชน หรือ แม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเอง ก็ไม่สามารถที่จะรู้ประมาณ ความคิดของผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า คือของพระโพธิสัตว์ได้เลย เพราะ ตัวเองไม่ได้สะสมอุปนิสัย ที่จะเสียสละ และบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จึงไม่สามารถจะหยั่งรู้ความคิดของผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ และที่สำคัญ การจะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่เลิศสูงสุดกว่าใครทั้งหมด ก็จะต้องทำเหตุให้สมควร คือ เจริญกุศลถึงขีดสุด นั่นแสดงว่าการกระทำกุศล ที่เป็นบารมี ก็เป็นเรื่องที่ยาก และ หยั่งรู้ได้ยาก ของปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส และยากที่ใครที่จะรู้ แม้แต่พระสารีบุตร ผู้มีปัญญามาก ก็ไม่สามารถรู้ ประมาณได้ จะกล่าวไปไย ถึงบุคคลเหล่าอื่น ครับ
เพราะฉะนั้น การกระทำของพระองค์ เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ย่อมมีเหตุมีเหตุผลและ ท่านไม่มองใกล้ๆ อย่างเราชาวโลก ที่คิดว่า เมื่อทำอย่างนี้ ทำให้คนใกล้ตัวเดือดร้อน มีการให้บุตรกับชูชก เป็นต้น แต่ในความเป็นจริง ทุกคนย่อมเดือดร้อน แน่นอน ตราบใด ยังมี ขันธ์ ๕ ไม่ช้าก็เร็ว เพราะ เคยทำกรรม คือ อกุศลกรรมไว้ เมื่อมีเหตุปัจจัย ย่อมเดือดร้อนทางกายเป็นธรรมดา แม้แต่กัณหา ชาลี ครับ หากเรามองเหตุการณ์ใกล้ๆ ก็คิดว่า กัณหา ชาลี ลำบาก ทุกข์กาย เป็นต้น เพราะพระเวสสันดร
แต่ในความเป็นจริง หากมองที่สัจจะ ความจริงแล้ว ถ้า กัณหา ชาลี ไม่มีกรรมที่จะทำให้ลำบาก ไม่มีอกุศลกรรมที่จะให้ผลแล้ว กัณหา ชาลี ก็จะไม่ถูกตีจาก ชูชก ไม่ถูกทรมาน ไม่ตกระกำลำบากเลย ครับ เพราะใคร ก็เพราะกรรมของตนเองที่ทำมา ซึ่งหากอธิบายกับผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรมอย่างละเอียด หรือ ไม่มีศรัทธาในพระธรรม ย่อมไม่เชื่อ เพราะไม่ได้เข้าใจเหตุผลที่เป็นสัจจะ ความจริงอย่างละเอียด ครับ และตามที่กล่าวแล้ว ว่า เดือดร้อนทางกายเพราะกรรม และ ไม่ใช่เดือดร้อนทางกายเท่านั้น ครับ เดือดร้อนกันทางใจด้วย มีความทุกข์ เสียใจ เพราะ มีกิเลสเป็นเหตุ ต้นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งปวง ใครทำให้ทุกข์ใจ พระเวสสันดร หรือ กิเลสของผู้นั้นเอง ดังนั้น ผู้ที่มีปัญญา จึงรู้ความจริงว่า ต้นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่ผู้อื่น แต่คือ กิเลสที่มีในจิตใจ อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งปวง เมื่อเดือดร้อนทางใจอย่างนี้ และเดือดร้อนทางกายอย่างนี้ เพราะมีกิเลสเป็นต้นเหตุ ก็ต้องแสวงหาดับเหตุแห่งทุกข์ คือกิเลส ก็ด้วยการบำเพ็ญบารมี เจริญกุศลทุกๆ ประการ จนถึงที่สุด เพื่อถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะดับกิเลสของตนเอง และช่วยดับกิเลสของผู้อื่นได้ แต่ การบำเพ็ญบารมีเพื่อจะไปถึงจุดนั้น ก็ต้องทำกุศลจนถึงสูงสุด แม้แต่การให้ ก็ต้องให้ทุกสิ่งไม่มีเหลือ ทรัพย์ภายนอก ยังพอ
ให้ได้ นั่นก็แสดงว่า ยังมีสิ่งที่ยาก และสละได้ยากกว่า ดังนั้น การทำกุศลสูงสุดคือ สละสิ่งที่ติดข้องมากที่สุดเท่ากับว่าจิตสละสิ่งที่ผูกพัน เพื่อไปถึง บุคคลที่ไม่ผูกพันอะไรเลย คือ ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า จึงสละ บุตร ภรรยา และมีชีวิตนเอง ให้ผู้อื่นเพื่อสละความผูกพันทั้งหมด อันเป็นการเจริญสูงสุด เพื่อไปถึงความเป็นบุคคลสูงสุด และก็สามารถช่วยผู้อื่นได้ ครับ
พระเวสสันดร จึงให้บุตรเป็นทาน กับ ชูชก เพื่อการสละความผูกพันเพื่อเจริญกุศล เพื่อถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าสละไม่ได้ ไม่ได้สละสิ่งเหล่านี้ ก็จะไม่ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าเลย และก็จะไม่สามารถช่วยกัณหา ชาลี และสัตว์โลก พ้นจากทุกข์ใหญ่ คือ การเกิดในสังสารวัฏฏ์ ที่จะต้องเกิดตายนับชาติไม่ถ้วน และต้องตกนรกอีกมากมาย ดังนั้น ทุกข์เพียง ถูกชูชกตี เพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับทุกข์ใหญ่ มีนรก เป็นต้น ดังนั้น พระองค์มองไกล ไม่มองใกล้ เพราะ มองถึงเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงว่า คือ กิเลส และจะทำอย่างไร จะดับกิเลสได้ ก็ต้องทำกุศลสูงสุด คือ สละ บุตร ภรรยาและก็จะทำให้ช่วย บุตร ภรรยา ในอนาคต จากทุกข์ใหญ่ ทุกข์ที่แท้จริง ที่น่ากลัวกว่าการถูกชูชกตี ทรมาน กว่ามากได้ ครับ
ท่านได้เปรียบไว้ครับว่า เปรียบเหมือนว่า คนในครอบครัวได้ทำผิด ทั้งครอบครัวจะต้องถูกลงโทษเข้าคุกทุกคน (คุก คือ สังสารวัฏฏ์) (ทำผิด คือ ทำอกุศลกรรม เพราะมีกิเลส) ถูกปรับสินไหม ครอบครัวไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ลูกยังเล็ก มีแต่หัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ คือ หาเงินมาจ่าย ดังนั้น จึงให้ ลูกและภรรยา เป็นตัวประกันให้เข้าคุกไปก่อน ตัวเองก็ไปหารายได้ มาเพียงพอแล้ว ก็จ่ายค่าปรับ ทั้งตนเองและครอบครัว มีบุตร และ ภรรยา ก็พ้นภัย พ้นจากความผิด เพราะ จ่ายค่าสินไหม แล้วไม่ได้หมายความว่า หัวหน้าครอบครัวเอาตัวรอด แต่ที่ให้ลูกและภรรยา ติดคุกก่อน เพราะ พระราชาจะได้ไม่เอาผิด เพราะมีตัวประกันแล้ว และตัวเองก็จะหาทรัพย์มาให้ พระโพธิสัตว์ก็เช่นกัน สละทุกอย่าง และ บริจาค บุตร ภรรยา เพื่อเจริญกุศลให้เต็ม เพื่อที่จะได้ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้ช่วย บุตร ภรรยาและสัตว์โลกทั้งหมด ให้พ้นจากทุกข์ใหญ่จริงๆ และ พ้นจาก คุก ที่น่ากลัว คือ สังสารวัฏฏ์ ครับ
และกัณหา ชาลี ก็พ้นทุกข์แล้ว เพราะเกิดเป็น พระราหุล และ พระอุบลวรรณาเถรี และปรินิพพาน เพราะอาศัยการตรัสรู้ของพระองค์ พ้นจากทุกข์ใหญ่ ที่เป็นทุกข์ที่น่ากลัวกว่า การถูกชูชกตี หาประมาณไม่ได้
ความประพฤติของพระโพธิสัตว์ จึงเป็นอจินไตย ยากที่จะคิดตามได้ ด้วยความคิดปุถุชน เพราะไม่มีปัญญาถึงขนาดท่าน แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ด้วยความละเอียดรอบคอบ และมองไกล ไม่มองใกล้ และมองเหตุผลโดยประมวล อย่างถี่ถ้วนก็พอเข้าใจได้บ้าง ย่อมเข้าใจเหตุผลตามความเป็นจริง ตามที่กล่าวมาทั้งหมด ครับ
ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า
การให้สิ่งของใดๆ ก็ตาม แก่คนที่ไม่ยอมช่วยเหลือตัวเองเลยนั้น อาจเกิดผลเสียตามมาก็เป็นได้
- การให้ของผู้มีปัญญา ย่อมไม่เกิดผลเสียกับผู้มีปัญญา เพราะ กุศลจะให้ผลเสียไม่ได้ แต่กุศล จะต้องมีกาลเวลา และมองอย่างไกล ยาวนาน หากมองใกล้ย่อมคิดว่ามีผลเสีย เพราะคิดว่า บุตร ภรรยา ทุกข์กายและใจ แต่ท้ายสุด ผลที่ได้ คือ ความหลุดพ้นของผู้ที่สะสมปัญญามา พ้นจากทุกข์ทั้งปวง นับประมาณจำนวนสัตว์โลกไม่ได้เลยครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า พระโพธิสัตว์ (พระมหาสัตว์) พระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างครบถ้วน บริจาคสิ่งใหญ่ๆ ๕ อย่าง เรียกว่าปัญจมหาบริจาค คือ บริจาคอวัยวะ บริจาคชีวิต บริจาคทรัพย์ บริจาคราชสมบัติ บริจาคบุตรและภรรยา ทั้งหมดเป็นของที่เป็นที่รัก และสละได้โดยยากทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่รัก ก็ตาม และสิ่งที่มีค่าและเป็นที่รักยิ่งกว่านั้น คือ พระสัมมาสัมโพธิญาณ พระบารมีที่ทรงบำเพ็ญทั้งหมด ก็เพื่อสิ่งนี้ เพื่อจะช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ในแต่ละชาติของพระองค์ เพื่อประจักษ์แจ้งพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น เป็นความละเอียดลึกซึ้ง ของพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระปัญญาธิคุณของพระองค์ ซึ่งยากที่ปุถุชนทั่วๆ ไปผู้ไม่ได้สดับพระธรรม จะพิจารณาเข้าใจได้ แม้ผู้ที่ศึกษาพระธรรมมาบ้าง ก็ยังยากที่จะคิด พิจารณาให้เข้าใจถึงการกระทำทุกอย่างของพระโพธิสัตว์ในแต่ละชาติได้ โดยเฉพาะการบริจาคบุตรทั้งสอง คือ กัณหาและชาลี รวมถึงบริจาคภรรยา คือ พระนางมัทรี ในพระชาติที่พระองค์ทรงเป็นพระเวสสันดร ซึ่งทั้งหมดนั้นจะต้องศึกษาพิจารณาอย่างละเอียดในเหตุในผลจริงๆ
จะเห็นได้ว่าทั้งพระนางมัทรี, กัณหาและชาลี ต่างก็มีความเข้าใจในเรื่องการบำเพ็ญพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เป็นอย่างดี ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่สะสมบารมีมาเพื่อที่จะเป็นผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในอนาคตข้างหน้าทั้งนั้น
[พระนางมัทรี คือ พระนางยโสธรา พิมพา, กัณหา คือ พระอุบลวรรณาเถรี, ชาลี คือ พระราหุล เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดในกาลสมัยของพระพุทธเ้จ้าทรงพระนามว่า โคดม] และ ก็พร้อมที่จะถูกบริจาค เพื่อการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ตราบใดที่ยังเป็นผู้มีกิเลส ยังมีความกลัว ยังมีความเสียใจ เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ในที่สุดก็พร้อมที่จะถูกบริจาคเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้พระบารมีของพระโพธิสัตว์เต็มเปี่ยม ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของความเข้าใจในพระธรรม ที่ได้สะสมอบรมมาทั้งนั้น ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ที่ผมร่วมสนทนาก็เพื่อต้องการคำตอบแนวนี้โดยเฉพาะ ขอบคุณที่อาจารย์ทั้งหลายช่วยกันศึกษาและยกย่องพระศาสนาให้เกิดมีความเข้าใจถูกต้อง ให้แก่ผู้ฟังและใคร่ในธรรมทั้งหลาย
มีคนมากหลายที่อาศัยพระศาสนา แล้วยังมาเที่ยวย่ำยีพระศาสนา อันนี้ สำหรับผมแล้ว น่าตำหนิมากครับ แต่อีกแง่มุมหนึ่ง ก็เป็นทางให้เราได้ศึกษาและเข้าใจได้ถูกต้องยิ่งขึ้นน่ะครับ
สาธุๆ