รบกวนขอคำแนะนำด้วยค่ะ รู้สึกท้อแท้มากค่ะ
คือดิฉันกำลังท้อแท้มากเลยค่ะ เนื่องจากดิฉันตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผลค่ะ โดยได้ตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานที่ทำมาหลายปี ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่และ เงินเดือนสูง เพราะที่ทำงานมีปัญหาเรื่องคนเห็นแก่ตัว ซึ่งดิฉันต้องทำงานร่วมกับเขา และถูกเอาเปรียบมาตลอด งานก็เยอะขึ้นๆ เรื่องงานเยอะไม่เท่าไหร่แต่เรื่องคนนี่ทำให้ดิฉันท้อแท้มากค่ะ ดิฉันตัดสินใจลาออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หางานเลย ทำให้ตกงานค่ะ ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะได้มีเวลาหางานและพักไปด้วยและรู้อยู่แล้วว่าถ้าหางานใหม่จะได้เงินเดือนน้อยกว่าเดิมแน่นอน ตอนแรกคิดว่าจะทำใจยอมรับได้ แต่สุดท้ายพอหางานใหม่ได้แล้ว และเงินเดือนน้อยกว่าจริงๆ ดิฉันก็รู้สึกเสียดายงานที่เดิมที่ออกมาค่ะ รู้สึกว่า ตัวเองโง่มาก ทั้งๆ ที่มีภาระและค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งๆ ที่ทั้งเพื่อนและแฟนก็เตือนแล้ว ว่าให้อดทน ทุกที่ก็มีปัญหาทั้งนั้น ตอนนั้นดิฉันไม่ฟังใครเลย ลาออกด้วยน้ำตา ร้องไห้ไป ลาออกไป
ตอนนี้รู้สึกท้อแท้มากเพราะต้องไปเริ่มงานที่ใหม่ ต้องศึกษาใหม่หมด ไหนจะต้องมารู้สึกว่าตัวเองโง่มากและเสียดายที่เก่าค่ะ ก็พยายามทำสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ และ ทำใจแล้วนะคะ แต่มันยากมากเลยค่ะ บางครั้งก็เกิดความท้อแท้ บางครั้งคิดไปก็ร้องไห้ ค่ะ คืออยากทำใจให้เข้มแข็ง ยอมรับความจริง ปล่อยวางให้ได้ เวลามีปัญหาอยากให้มีสติให้มากกว่านี้ค่ะ
จึงอยากจะรบกวนขอคำแนะนำด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การตัดสินใจที่ดีที่สุด คือ ในขณะนั้นที่เกิดขึ้นนั่นเองครับ ดังนั้น เหตุการณ์ที่ตัดสิน ที่จะลาออกในงานเดิม ครั้งแรก ก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะต้องเป็นอย่างนั้น นี่แสดง ถึงความจริงครับว่า ธรรมทั้งหลายนั้นเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อมีเหตุก็จะต้องตัดสินอย่างนั้น ครับ และที่สำคัญที่สุด ถ้าเข้าใจธรรมถูกต้อง ก็จะเข้าใจได้ว่าต้องมีเหตุที่จะได้งานใหม่และออกจากงานเก่าด้วย ต้อเงป็นไปตามกรรมลิขิต ครับ
ไม่มีใคร ไม่มีแม้แต้เราที่จะตัดสินใจเลย เพราะ ทุกอย่างเป็นแต่เพียง จิตที่คิดนึก ที่จะคิดทำอย่างนั้น อย่างนี้ และก็เป็นไปตามกรรมที่จะได้งานใหม่ด้วย อย่างน้อย ควรพิจารณาเข้าใจชีวิตว่า ความทุกข์มีได้เพราะกิเลส ดังนั้น แทนที่จะโทษตัวเอง ซึ่ง เหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็แก้ไขไม่ได้แล้ว และก็กำลังเป็นไปอยู่ตอนนี้ ก็ไม่โทษตัวเอง แต่เข้าใจถูกต้องว่า เป็นเพราะกิเลสนี้เองที่ทำให้ทุกข์ และเข้าใจถูกอีกครับว่า จะไม่ให้ทุกข์ก็ไม่ได้ เพราะมีกิเลสมาก และมีเหตุปัจจัย คือ พลัดพรากจากสิ่งที่น่าปรารถนา เป็นต้น ครับ
แน่นอนครับว่า การยอมรับความจริง ที่จะไม่ให้ทุกข์ ต้องเป็นเรื่องของปัญญา ดังนั้น ทุกข์เกิดแล้ว ท้อใจเกิดแล้ว ก็เป็นธรรมดาของผู้มีกิเลส ควรพิจารณาให้ถูกต้องครับ ว่า อย่างน้อย ชีวิตที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ยังมีอยู่ ยังไม่ได้สิ้นชีวิตไป การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก และยังโชคดีที่มีชีวิต แม้ทุกอย่างจะผิดหวังไป แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ สาระสำคัญของชีวิตไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สินเงินทองมากๆ เพราะ แม้มีทรัพย์มากก็ต้องทุกข์ใจ เพราะ สิ่งเหล่านี้ ก็ต้องจากไป ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง รวมทั้ง หน้าที่การงาน ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่ สาระของชีวิตจริงๆ ควรมองอย่างยาวไกล ว่า ชีวิตไม่ใช่ เพียงชาตินี้ชาติเดียว แต่ชีวิตยังต้องดำเนินไปอีกไม่รู้กี่ชาติ นับชาติไม่ถ้วนในอนาคตข้างหน้า สิ่งที่จะติดตามตัวต่อไป คือ กุศลธรรม ที่จะนำความสุขมาให้ และ ปัญญา จึงควรสะสมกุศลธรรมและฟังพระธรรมเพื่ออบรมปัญญา เพราะฉะนั้น ทุกข์ เพราะกิเลส ไม่มีปัญญา แต่ไม่ใช่ทุกข์เพราะการได้งานใหม่ที่ไม่ดี นี่คือ สาเหตุที่แท้จริง
ดังนั้น ควรสะสมอบรมปัญญาต่อไป ในพระธรรมที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่ ใช้พระธรรม เป็น ยารักษาไม่ให้ทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่ได้ครับ เพราะมีกิเลสมาก แต่ที่ถูกคือ เข้าใจความจริงว่า ทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร จึงอยู่กับความทุกข์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ด้วยความเข้าใจว่า ยังจะต้องเกิด ผู้ที่ไม่ทุกข์คือพระอรหันต์ ดังนั้น รู้ว่าทุกข์ ก็อบรมสิ่งที่จะค่อยๆ ละทุกข์ คือ การฟังพระธรรม อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ ครับ ส่วน ชีวิตที่ดำเนินไป ก็เข้าใจความจริงถึงความเป็นอนัตตา ว่า ไม่มีใครที่จะทำให้ชีวิตราบรื่น เป็นไปตามอำนาจ แต่ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ตามกรรมที่ทำมา ความเข้าใจพระธรรมและการทำกุศล ก็จะเป็นเครื่องคอยเตือนสติบ้างในขณะที่ทุกข์ และทำให้เข้าใจเหตุการณ์ในชีวิตที่เกิดขึ้น ครับ เป็นกำลังใจให้ด้วยความเข้าใจพระธรรม
เชิญสหายธรรมทุกท่านร่วมสนทนา ครับ
* * * ------------------- * * *
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
* * * ---------------------------------------- * * *
กราบขออนุญาตอาจารย์ทุกท่าน ร่วมสนทนาลำดับต่อนี้นะครับ
เป็นกำลังใจ เข้าใจ และ เห็นใจมากๆ ครับ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอความแข็งแรง, ความเข้าใจในพระธรรม จงมีแก่ KKTT นะครับ
สิ่งที่ไม่สมหวัง หรือ สิ่งที่สมหวังในชีวิตเรา แม้กระทั่งสัตว์ เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับครับ เราปฏิเสธกรรมไม่ได้ครับ เพราะกรรม (คือการกระทำ) ที่ผู้นั้นได้กระทำสำเร็จลงแล้ว และ เมื่อผลที่จะได้รับ สุกงอม พร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่จะให้ผล ก็ต้องให้ผลอย่างพิสดารจนเราอาจจะคิดว่าเตรียมตัวไว้แล้ว และ คิดว่าเอาอยู่ แต่ก็มักผิดหวัง และ เจ็บปวดเสมอ
กราบอนุโมทนา อาจารย์ Paderm อย่างสูง กับคำว่า "ชีวิตไม่ใช่เพียงชาตินี้ชาติเดียว แต่ชีวิตยังต้องดำเนินไปอีกไม่รู้กี่ชาติ นับชาติไม่ถ้วนในอนาคตข้างหน้า สิ่งที่จะติดตามตัวต่อไป คือ กุศลธรรม ที่จะนำความสุขมาให้ และ ปัญญา จึงควรสะสมกุศลธรรม และ ฟังพระธรรม เพื่ออบรมปัญญา"
เราห้ามอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งการห้ามที่จะไม่ลาออก * * ทำใจเย็นๆ นะครับ ผมมั่นใจว่าคุณโชคดีมากๆ ที่สุดในโลกคนนึง ในบรรดาคนไทยมาณ ๖๔ ล้านคนซึ่งยังไม่รวมคนทั่วโลก และ ยังไม่ได้รวมถึงสัตว์ทุกชีวิตในโลกนี้ ที่ยังได้รับ
๑. การเกิดเป็นคน
๒. ยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้
๓. ได้มีพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมา (เพื่อเป็นแบบอย่างคนดีที่สุดหาผู้ใดเปรียบมิได้)
* * ขออนุญาตเสริม เป็นแนวทาง
๔. ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ขอกำลังใจให้คุณได้ศึกษาพระธรรม เพื่อความกระจ่างในการเห็นแนวทางในการดับทุกข์นะครับ (ศึกษาแนวทางที่จะดับก่อนลำดับแรก ด้วยพระธรรม)
* * * การตื่นมาพบความท้อแท้ผิดหวัง เจ็บปวด ทรมาน คงเทียบไม่ได้กับการเกิดมาในแต่ละชาติแล้วไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม * * *
ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ท่านนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรที่จะเข้าใจได้ว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นของยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ แม้ว่าจะได้งานทำที่ดี หรือ ได้งานทำที่ไม่ดีเท่ากับที่เคยทำมาก่อน แต่ถ้าหากว่ามีโอกาสที่จะได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา นั่นย่อมเป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างมาก เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ รวมถึงการอบรมเจริญปัญญาด้วย
ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่า เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในภพภูมิใด ถ้าหากไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมหมดโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม ไม่มีโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
ฉะนั้นแล้ว ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ด้วยการสะสมความดีและอบรมเจริญปัญญา [เป็นคนดี และฟังพระธรรมให้เข้าใจ]
เราไม่สามารถจะทราบได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้ในขณะต่อไป ทุกขณะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นจริงๆ วันนี้อาจจะเพียบพร้อมสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ แต่ว่าพรุ่งนี้อาจจะวิบัติไปหมดก็ได้ หรือว่า บุคคลที่กำลังทุกข์ยากลำบากอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่มีใครทราบว่าวันต่อไปข้างหน้าจะมีความสมบูรณ์ในโภคสมบัติมากน้อยสักเท่าไร ดังนั้น ถ้าเป็นผู้ได้ศึกษาธรรมอบรมเจริญปัญญา เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เข้าใจในเหตุในผล บุคคลนั้นก็ย่อมสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ พร้อมกับเป็นผู้มีความเจริญในกุศลธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชีวิตของบุคคลผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา เป็นชีวิตที่ประเสริฐสุด ความประเสริฐ ไม่ได้อยู่ที่หน้าที่การงาน ไม่ได้อยู่ที่ขั้นของเงินเดือน ไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สมบัติ แต่อยู่ที่ คุณความดี ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาทุกๆ ท่าน และขอเป็นกำลังใจให้คุณ KKTT ด้วยค่ะ
ทุกขณะเป็นธรรมเกิดขี้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้นจริงๆ
ขออนุโมทนาครับ
อ่านเรื่องของคุณแล้ว เห็นใจมากครับ และขอเป็นกำลังใจด้วยนะครับ อยากจะบอกว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็ให้แล้วไปเถอะครับ ไม่สามารถแก้ไขได้ครับ แต่วันนี้ตั้งใจศึกษางานใหม่ดีกว่าครับ ที่ใหม่นี้อาจทำให้คุณได้ผลตอบแทนดีกว่าที่เก่า ในอนาคต และทำให้มีความสุข ก็ได้ครับและอยากจะบอกว่า ผม ก็เคยทำงานออฟฟิต ทุกที่ก็มีคนเห็นแก่ตัว และแย่ๆ ทุกที่ครับ หากเจอปัญหาแบบเดิม ก็ควรต้องเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน แล้ว ตั้งใจทำงานต่อไปอย่าลาออกอีกนะครับ
ขอเป็นกำลังใจด้วยคนครับ
ดิฉันขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกๆ ท่าน สำหรับคำแนะนำและกำลังใจนะคะ คือ ความจริงดิฉันต้องขอยอมรับก่อนนะคะ ว่าปกติว่าเวลาที่ดิฉันไม่มีทุกข์ ดิฉันไม่ค่อยสนใจธรรมะและนั่งสมาธิเท่าที่ควร แต่เวลานี้ดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับดิฉันมากค่ะ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยนะคะที่จะปล่อยวางได้ง่ายๆ ยิ่งตอนทำสมาธิจะฟุ้งซ่านคิดตลอด ทั้งๆ ที่ความจริง ดิฉันก็รู้ดีว่าถ้าดิฉันทำใจได้ ปล่อยวาง ปล่อยอดีตไปแล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แต่ปัญหามันอยู่ที่ใจดิฉันนี่แหละค่ะ ที่ทำไม่ได้เอง ทั้งที่ทำงานที่ใหม่อย่างน้อยก็มีข้อดีที่ได้หยุดเสาร์-อาทิตย์ และเงินเดือนที่น้อยลง ความจริงก็อยู่ในฐานปกติทั่วไป คือพยายามคิดในแง่ดีค่ะ ตอนนี้ดิฉันก็พยามฟัง อ่านธรรมะ และทำสมาธิ ฝึกใจตัวเองค่ะ ถ้าไปเจอคนเห็นแก่ตัวอีก อย่างน้อยดิฉันจะได้ไม่หนีปัญหาและอ่อนแอแบบนี้อีกค่ะ
ขอขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ
ขอแสดงความเห็นด้วยคน
ตัดสินใจลาออกด้วยอารมณ์ จะว่าได้รึเปล่าว่าเลยให้ผล กำลังท้อแท้เพราะการลาออกเป็นอารมณ์ของจิต เกิดเป็นอารมณ์เมื่อไรก็ท้อแท้เมื่อนั้น เกิดบ่อยๆ ก็ท้อแท้บ่อยๆ บ่อยเข้า ความคิดเกิดว่าตังเองโง่ เสียดายงานเก่า จนร้องไห้ ร้องไห้มีอยู่แล้ว ขณะลาออกไปก็ร้องไห้ไป ให้มันได้ยังงั้นชิ รึจะว่า อย่างนี้ก็มีด้วยรึ ถ้าเป็นผู้ศึกษาธรรม ก็จะรู้ว่าโทษแห่งความโกรธนั้น มันอันตรายมาก เวลาอึ่งโกรธนั้นจะตัวพอง เวลาพองแล้วจะขยับเขยื้อนไม่ได้ นกกาก็จิกกินตามสบาย ผมว่าควรศึกษาให้รู้จักโทษของความโกรธ และต้องมีความอดทน ขันติ เพราะสิ่งในทำนองนี้ยังจะเกิดอีกในโอกาสต่อไป อาจจะลาออกอีกจากงานใหม่ก็ได้ ขอให้เป็นความเห็นอย่างหนึ่งนะครับ เพราะผมคิดว่า ถ้าสติเกิดสักนิดก่อนที่จะลาออก ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ จึงต้องศึกษาธรรมะ เพื่อจะมีสติได้ ซึ่งจำปรารถนาด้วนประการทั้งปวง ... ฯ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"อดีตล่วงไปแล้วแก้ไขไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงอย่าไปกังวล"
"อยู่กับปัจจุบันขณะอย่างมีสติ"
" เพราะฉะนั้น ทุกข์ เพราะกิเลส ไม่มีปัญญา แต่ไม่ใช่ทุกข์เพราะการได้งานใหม่ที่ไม่ดี นี่คือ สาเหตุที่แท้จริง"
" ดังนั้น ควรสะสม อบรมปัญญาต่อไป ในพระธรรมที่ถูกต้อง "
* * * การตื่นมาพบความท้อแท้ผิดหวัง เจ็บปวด ทรมาน คงเทียบไม่ได้กับการเกิดมาในแต่ละชาติแล้วไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม * * *
" ความประเสริฐไม่ได้อยู่ที่หน้าที่การงาน ไม่ได้อยู่ที่ขั้นของเงินเดือน ไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สมบัติ แต่อยู่ที่คุณความดี ครับ."
ขอเป็นกำลังใจให้คุณkkttก้าวข้ามอดีตพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
ด้วยการเริ่มต้นฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก
"ว่าทุกสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมไม่ใช่เรา"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยคิดจะลาออกจากงานที่ทำ เพราะงานที่ทำเป็นงานที่ต้องถูกต้องและต้องรวดเร็ว และต้องแข่งกับเวลา แต่ก็มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ลาออกไม่ได้ นี่คงเป็นกรรมของเรามั้งที่จะต้องมาเจองานที่หนัก และในบางครั้งก็รู้สึกหนักใจกับเพื่อนร่วมงานที่เห็นแก่ตัว (รู้สึกท้อแท้เหมือนกันนะ) แต่มันก็เป็นกรรมของเราเองนะที่ต้องทำงานนี้ต่อไป ก็เลยคิดว่าก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ถ้าคิดให้ดีอีกที ตอนนี้เรายังมีกำลังก็ทำต่อไปเก็บเงินให้มากที่สุด (เพื่อยามเราแก่ไม่มีเรี่ยวแรงทำงานจะได้นำเงินนั้นมาใช้ หรือเอาไปช่วยผู้ที่ด้อยโอกาส หรือ ตกทุกข์ได้ยาก) เรารู็สึกเห็นใจคุณ KKTT นะคะ ขอเป็นกำลังใจด้วยนะคะ และขออวยพรให้คุณได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจากเดิมเยอะๆ นะคะ สู้สู้นะคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"... โลกธรรม ๘ ประการนี้แล ย่อมหมุนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการ ๘ ประการเป็นไฉน คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ ประการนี้แล ย่อมหมุนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการนี้ ...
... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภย่อมเกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เขาไม่ตระหนักชัด ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า ลาภนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่าลาภนั้นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความเสื่อมลาภ ย่อมเกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เขาไม่ตระหนักชัด ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า ความเสื่อมลาภนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่าความเสื่อมลาภนั้นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา. ยศ ... ความเสื่อมยศ ... นินทา ... สรรเสริญ ... สุข ... ทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เขาไม่ตระหนักชัดไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า ทุกข์นี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่าทุกข์นั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แม้ลาภย่อมครอบงำจิตของเขาได้ แม้ความเสื่อมลาภย่อมครอบงำจิตของเขาได้ แม้ยศ ... แม้ความเสื่อมยศ ... แม้นินทา ... แม้สรรเสริญ ... แม้สุข ... แม้ทุกข์ ย่อมครอบงำจิตของเขาได้ เขาย่อมยินดีลาภที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมยินร้ายในความเสื่อมลาภ ย่อมยินดียศที่เกิดขึ้น ย่อมยินร้ายในความเสื่อมยศ ย่อมยินดีสรรเสริญที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมยินร้ายในนินทา ย่อมยินดีสุขที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมยินร้ายในทุกข์ เขาประกอบด้วยความยินดียินร้ายอย่างนี้ ย่อมไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า ไม่พ้นไปจากทุกข์."
ขออนุโมทนา
[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 346
" มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ ว่าเป็นที่พึ่ง; สรณะนั่นแลไม่เกษม, สรณะนั่นไม่อุดม, เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้. ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ (คือ) ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ; สรณะนั่นแลของบุคคลนั้นเกษม, สรณะนั่นอุดม, เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้. "
ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจค่ะ
ทุกข์เพราะยึดมั่น ในเงินเดือนที่เยอะและมีภาระค่าใช้จ่ายมาก ๑ ทุกข์เพราะไม่อยากปรับตัวเข้ากับที่ทำงานใหม่ทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ ๒ " แต่ตวามทุกข์ที่มากที่สุด คือ การไปนึกถึง เรื่องที่ ๑ และ ๒ " ทั้งๆ ที่มันผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ คือใจไม่ได้อยู่กับงานใหม่ที่กำลังทำในปัจจุบัน ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ ถ้าเรา ๑ คิดว่าจะได้ปรับตัวปรับใจยอมรับกับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเริ่มขึ้นเพื่อที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น มีเวลาอยู่กับคนรักและครอบครัว ที่เงินซื้อไม่ได้ ได้รู้จักเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ และบางทีถ้าเรายอมรับความจริงและยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ เราอาจจะเจอความสุขอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยเงิน ผมเห็นใจและเข้าใจหลายๆ คนนะครับ ที่ตัวเองเคยมีรายได้สูงๆ มีความสุขในการใช้จ่ายเงิน แต่ท่านเคยสังเกตไหมครับว่า รายได้ที่สูงมันย่อมมีค่าใช้จ่ายที่บางทีแทบจะไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นมา แต่ถ้ารายได้ต่ำมันก็จะเป็นการบังคับตัวเองไปในตัว ตัดเรื่อง ฟุ่มเฟือยเรื่องกินเรื่องเที่ยวออก มันจะเหลือแต่ความพอดี และที่สำคัญท่านจะได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น อย่าเอาความสุขไปแขวนไว้กับรายได้ครับ เอาไปไว้กับความพอใจความพอดี ผมเป็นข้าราชการเงินเดือนน้อยแต่ ก็มีความสุขตามอัตภาพ เพราะไม่ได้ไปแข่งหรืออวดร่ำอวดรวยกับใคร ส่วนใหญ่มักจะอวดดีมากกว่า