ช่วยอธิบายคำว่า พิจารณาองค์ฌาณ ด้วยครับ
๑. คำว่า พิจารณาองค์ฌาน หมายถึงอะไร
๒. ท่านผู้ที่เจริญฌาน ควบคู่ไปกับการเจริญสติปัฏฐาน ไ่ม่ต้องรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แค่พิจารณา แต่การเปลี่ยนแปลงในองค์ฌานอย่างเดียวก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นขั้นๆ ได้จนถึงอรหันต์ ได้หรือไม่
๓. ทำไมวิทยากรบางท่านเชื่อว่า ในยุคนี้ ไม่มีคนได้ฌาน และไม่มีพระอรหันต์ ทั้งๆ ที่พวกพระสายวัดป่า ท่านเน้นเจริญสมถภาวนาอย่างหนัก จะไม่มีใครได้ฌานสักคนเลยหรือครับ เช่น หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ดุลย์ เป็นต้น
ขอเหตุผลรับรองด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. คำว่า พิจารณาองค์ฌาณ หมายถึงอะไร
- ฌาน เป็นธรรมเครื่องเผา ถ้าเป็นฝ่ายกุศล ก็เป็นการเผากิเลส ซึ่งต้องอาศัยการเจริญสมถภาวนา จึงจะถึงการได้ฌาน ซึ่ง ฌาน ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ในเมื่อฌาน เป็นผลของการเจริญสมถภาวนา ขณะที่เป็นฌานจิต จึงต้องเป็นจิตที่ดี เกิดขึ้นพร้อมกับ เจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้นในขณะนั้น
แต่เมื่อพูดถึงองค์ฌานก็มีองค์ธรรม ที่เป็นปรมัตถธรรม ที่เป็นเจตสิก ที่ประกอบเป็นองค์ฌาน อย่างเช่น ปฐมฌาน ก็มีองค์ฌาน คือ วิตกเจตสิก วิจารเจตสิก ปิติเจตสิก สุข (เวทนาเจตสิก) เอกัคคตาเจตสิก
ดังนั้น คำว่า พิจารณาองค์ฌาน คือ ปัญญาทำหน้าที่พิจารณา คือ ปัญญาเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นองค์ฌาน องค์ฌานใด องค์ฌานหนึ่ง ใน ๕ (ขณะที่เป็นปฐมฌาน) โดยรู้ตามควาเมป็นจริง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา เช่น พิจารณาวิตกเจตสิก ขณะนั้นต้องเป็นปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานเกิด หรือ วิปัสสนา รู้ลักษณะของวิตกเจตสิก หลังจากออกจากฌานแล้ว วิปัสสนาเกิด รู้ว่า วิตกเจตสกิไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี่คือ การพิจารณาองค์ฌาน ด้วยปัญญา ที่เป็นวิปัสสนาปัญญา ครับ
๒. ท่านผู้ที่เจริญฌาณ ควบคู่ไปกับการเจริญสติปัฏฐาน ไ่ม่ต้องรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แค่พิจารณา แต่การเปลี่ยนแปลงในองค์ฌาณอย่างเดียวก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นขั้นๆ ได้จนถึงอรหันต์ ได้หรือไม่
- ในความเป็นจริง ก็สามารถเกิดได้ คือ พิจารณาองค์ฌานแล้วบรรลุธรรมได้เลยก็มี แต่สำหรับผู้ที่สะสมปัญญามามากแล้วซึ่งผู้ที่ได้ฌานและเจริญวิปัสสนาควบคู่กันไปหมดสิ้นไป ตั้งแต่พันปีที่ ๒ ของ พ.ศ. แล้วครับ ดังนั้น ยุคสมัยนี้ ไม่มีทางเลย ที่ใครจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ หรือได้ฌานพร้อมกับบรลุธรรมด้วยการเจริญวิปสสนา เพราะไม่ใช่กาลสมัย เพราะ สมัยนี้มีปัญญาน้อยกว่าสมัยก่อนๆ มาก ครับ ดังนั้น สมัยปัจจุบัน จึงเป็นการรู้ความจริงในชีวิตประจำวันที่กำลังปรากฏที่ก็เป็นธรรม ไม่ต่างจาก องค์ฌานที่เป็นแต่เพียงธรรมเช่นกัน ครับ ไม่ใช่จะต้องไปเจริญฌานก่อน จึงจะบรรลุธรรม แต่ผู้ที่เจริญวิปัสสนาอย่างเดียว บรรลุธรรมมีมากมายนับไม่ถ้วน ครับ
๓. ทำไมบางท่านเชื่อว่า ในยุคนี้ ไม่มีคนได้ฌาน และไม่มีพระอรหันต์ ทั้งๆ ที่พวกพระสายวัดป่า ท่านเน้นเจริญสมถภาวนาอย่างหนัก จะไม่มีใครได้ฌานสักคนเลยหรือครับ เช่น หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ดุลย์ เป็นต้น
- ต้องดูยุคสมัยด้วยครับว่า ยุคสมัยนี้ เป็นยุคสมัยของผู้มีปัญญามาก เท่ากับ สมัยพุทธกาลหรือไม่ ซึ่ง อรรถกถาในพระไตรปิฎกก็ได้อธิบายไว้ชัดเจนครับว่า การบรรลุธรรมย่อมเสื่อมไปตามลำดับ พันปีแรก มีพระอรหันต์และได้ฤทธิ์ พันปีที่สอง มีพระอรหันต์ แต่ไม่ได้ฤทธิ์แล้ว พันปีที่ ๓ คือ ยุคสมัยนี้ ไม่มีพระอรหันต์แล้ว สูงสุดแค่พระอนาคามี พันปีที่ ๔ คือ สูงสุดเป็นแต่เพียงพระสกทาคามี พันปีที่ ๕ คือ สูงสุดเป็นแต่เพียงพระโสดาบัน หากยุคนี้ ยังมีพระอรหันต์อยู่ นั่นก็เท่ากับว่า พระพุทธศาสนาไม่เสื่อมเลย แล้วจะไปค่อยเสื่อมทันทีตอนพันปีที่ ๕ ก็ไม่ใช่ครับ แต่ต้องค่อยๆ เสื่อมไปทีละน้อย ตามกาลเวลา จนถึง ๕ พันปี แม้แต่การบรรลุธรรมก็ค่อยๆ เสื่อมไปเช่นกันครับ
ตามที่พระพุทะเจ้าทรงแสดง ดังเช่น พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ดังนั้น เราจะเชื่อใคร จะเชื่อชื่อเสียง คำร่ำลือ ว่าผู้นั้นเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรือ จะเชื่อ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์แล้ว และ พระองค์แสดงเหตุผลว่าเป็นการเสื่อมไปตามลำดับด้วยครับ ด้วยเหตุผลในพระธรรม ไม่ใช่ตามคำร่ำลือ
ส่วนผู้เจริญฌาน ก็เป็นเรื่องยาก หากไม่อบรมเหตุให้ถูก และหากคิดว่า จะอบรมฌานเพื่อที่จะได้ถึงการบรรลุวิปัสสนาต่อ นั่นก็เป็นความเข้าใจผิดตั้งแต่ต้น เมื่อเริ่มจากความเข้าใจผิดที่คิดเข้าป่า เพื่ออบรมสมถภาวนาก่อนเพื่อจะได้ฌาน ก็ไม่มีทางได้ฌานเลย จากความเข้าใจผิด และไม่ต้องกล่าวถึงการบรรลุธรรม ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสังขารธรรม (ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิก และรูป) ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ถ้าหากว่าไม่มีการฟัง ไม่มีการศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้ มีแต่จะสะสมความไม่รู้ต่อไป ไม่สามารถที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ แต่ถ้าหากเริ่มจากการฟังด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ก็เป็นเครื่องอุปการะะเกื้อกูลให้ปัญญาเจริญขึ้น สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ได้ สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นว่า ขณะนี้ เป็นธรรม และ ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เป็นธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ โดยไม่ปะปนกัน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนในสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ไม่ได้เลย ปัญญาเท่านั้นที่จะทำกิจนี้ คือ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ได้ แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่เริ่มสะสมตั้งแต่ในขณะนี้จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจเลย มีให้ศึกษาอยู่ขณะนี้จริงๆ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย
และที่สำคัญ แต่ละบุคคลสะสมอัธยาศัยมาไม่เหมือนกัน แม้จะเจริญสมถภาวนา ถ้าไม่ได้อบรมเจริญวิปัสสนาที่จะรู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถเป็นบาทให้วิปัสสนาเกิดได้ และไม่ใช่หนทางที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ด้วย แต่ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนาด้วย และ เจริญวิปัสสนา ด้วย สมถภาวนาจึงจะเป็นบาทให้วิปัสสนาเจริญได้ เพราะองค์ฌานต่างๆ นั้น ก็เป็นธรรมที่มีจริงๆ เป็นฐานหรือที่ตั้งให้สติปัญญารู้ตามความเป็นจริงได้ หรือ แม้ไม่ได้อบรมเจริญสมถภาวนา แต่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงที่เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนา ก็สามารถดำเนินไปถึงซึ่งการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ เพราะหนทางที่จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ดับกิเลส มีทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...