ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เขาค้อ เพชรบูรณ์ ๒๓-๒๖ เมษายน ๒๕๕๕

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  30 เม.ย. 2555
หมายเลข  21052
อ่าน  2,221

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สืบเนื่องจากการที่คุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์ ได้กราบเรียนเชิญ

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปพักผ่อนที่ ภูแก้วรีสอร์ท อ.เขาค้อ

จังหวัด เพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา

ข้าพเจ้า มีโอกาสได้เดินทางตามไปด้วยในวันที่ ๒๔ และ กลับกรุงเทพฯก่อน ในวันรุ่งขึ้น

เนื่องจากในวันที่ ๒๓ เมษายน มีพี่ที่เคารพท่านหนึ่ง กรุณาชวนครอบครัวของข้าพเจ้า

ไปพักค้างคืนที่คอนโดของท่านที่ชายทะเลหัวหิน ซึ่งก็เป็นโอกาสอันดีของเด็กๆ

ที่จะได้ไปพักผ่อนในวันปิดเทอม แม้ว่ามีเวลาเพียงคืนเดียวก็ตาม เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่า

อยากจะตามไปบันทึกภาพท่านอาจารย์ และ อาจได้ความการสนทนาธรรม มาฝากทุกท่าน

เราออกเดินทางกลับจากหัวหินในตอนใกล้เที่ยง แวะรับประทานอาหาร และ ให้โอกาส

สาวๆ ทั้งหลายแวะช้อปปิ้งที่เอ้าท์เลทที่ชื่นชอบ ก่อนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ

แวะส่งคุณภรรยาและลูกสาวสองคนที่บ้าน แล้วออกเดินทางต่อทันที ออกจากกรุงเทพฯ

ราว ๕ โมงเย็น และ คาดว่าจะถึงที่ภูแก้วรีสอร์ทราว ๔ ทุ่ม ซึ่งก็น่าจะเป็นไปตามคาด

เพียงแต่มีเหตุให้ล่าช้าออกไปถึงราวหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากความผิดของข้าพเจ้า

ที่ "คิดเอง" ว่าเคยเห็นที่พักดังกล่าวแล้ว จากที่ไปเขาค้อมาครั้งสุดท้ายร่วมสิบปีที่แล้ว

แต่เนื่องจากเมื่อเดินทางไปถึง เป็นเวลาที่ดึกและมืดมาก ผู้คนก็ปิดบ้านนอนกันหมด

อินเทอร์เนทก็ใช้การถามทางไม่ได้เลย จึงขับรถวนอยู่ในป่านานนับชั่วโมง ยังดีที่มี

เบอร์โทรศัพท์คนขับรถตู้ ในใบรายละเอียดการเดินทาง จึงโทรถามและคลำทางจนพบ

ในตอนเช้า เมื่อเข้าไปกราบท่านอาจารย์ที่โต๊ะอาหาร ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านว่า

เมื่อคืนขับรถหลงวนอยู่ในป่าราวหนึ่งชั่วโมง กว่าจะหาทางมาที่พักจนพบ และ เรียนท่านว่า

ขณะนั้น คิดถึงคำที่ว่าธรรมะ "คิดเอง" คือ คิดเอาเองว่ารู้หนทางแล้ว ท่านเมตตาตอบว่า

"...มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ทำให้บุคคต้องหลงวนเวียนอยู่ในป่า คือ สังสารวัฏฏ์

ออกไปไม่ได้เลย..." กราบท่านอาจารย์ครับ

อากาศที่นี่ในตอนเช้าราวยี่สิบสององศา เย็นสบาย และ มีทิวทัศน์ที่สวยงามมากครับ

หลังรับประทานอาหาร ทางคณะฯจะออกเดินทางไปชมทิวทัศน์บริเวณพระธาตุผาแก้ว

แวะทานกาแฟที่ร้าน ROUTE 12 รับประทานอาหารกลางวันที่ พรสวรรค์ รีสอร์ท และ

เดินทางไปชมทิวทัศน์ที่ยอดภูทับเบิก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าอยากไปมานานแล้ว

แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเสียที เพิ่งจะมีโอกาสก็คราวนี้เองครับ แม้ว่าทางขึ้นจะลาดชัน

และ คดเคี้ยวมาก แต่ก็มีผิวทางที่ดีและกว้างขวาง สะดวกสบาย

ไม่อันตรายอย่างที่เคยคิด (เอาเอง...อีกแล้ว..) แม้ไปถึงยามบ่ายก็ไม่ร้อนจนเกินไปครับ

การที่ได้มีโอกาสไปในสถานที่ต่างๆ กับท่านอาจารย์ ทำให้ได้รู้และสำเหนียกได้บ่อยๆ

ว่าในทุกที่ๆ ไป ได้เห็นสิ่งสวยๆ งามๆ แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียง "เห็น" เท่านั้น มีบ่อยครั้ง

ที่คุณหมอวิภากร เรียนเชิญท่านอาจารย์ไปดูสิ่งที่ท่านคิดว่าน่าดู แต่ท่านอาจารย์ก็บอกว่า

"มีอะไรคะ เห็นแล้วค่ะ อยู่ตรงนี้ก็เห็น"......ไม่ต้องอธิบายนะครับ.....

ถ้าแม้ภิกษุนั้นพึงอยู่ในที่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ไซร้

แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา

ไม่มีความกำหนัดอันแรงกล้าในกามทั้งหลาย

ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจชั่วร้าย มีสติมั่น รู้สึกตัว

มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว สำรวมอินทรีย์

โดยที่แท้ภิกษุนั้นอยู่ใกล้ชิดเราทีเดียวและเราก็อยู่ใกล้ชิดภิกษุนั้น

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะภิกษุนั้นย่อมเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมย่อมชื่อว่าเห็นเรา

หลังแวะชมพระธาตุผาแก้ว คณะของท่านอาจารย์ ได้แวะร้านกาแฟริมทาง ที่มีบรรยากาศ

ที่เย็นสบาย และ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และ ณ ที่นี้เอง ที่ข้าพเจ้าได้สมประสงค์

คือ เมื่อท่านอาจารย์ได้พักผ่อนอิริยาบถตามควรแล้ว ได้มีเพื่อนของสหายธรรมท่านหนึ่ง

ที่ข้าพเจ้าเข้าใจ (เอาเอง อีกแล้ว) ว่าท่านคงอยู่ในพื้นที่นี้ ได้กราบเรียนถามท่านอาจารย์

ทำให้ข้าพเจ้าได้สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ มาฝากทุกๆ ท่านได้พิจารณาดังนี้

เพราะฉะนั้น อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราหรือจะเข้าใจ?

ถ้าเราไม่ศึกษา ด้วยความละเอียด ด้วยความเคารพจริงๆ ว่า ต้องลึกซึ้ง ต้องละเอียด

ไม่ใช่ พออ่านปุ๊บ เข้าใจ อย่างนั้น จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น การที่เราเป็นคนที่ ไม่ใช่คนตาบอด ที่ตามๆ กันไป

เขาลูบคลำช้าง เขาบอกว่าช้างเป็นอย่างไร ก็เชื่อเขา แถวของคนตาบอดนั้น ยาวเหยียด

แต่เรา จะไม่เป็นอย่างนั้น

ไม่ว่า ได้ยิน ได้ฟังอะไรมา "คืออะไร?"

ถ้า "คืออะไร?" แล้วเข้าใจได้ หมายความว่า คำสอนนั้น ทำให้เราสามารถ "เริ่มเข้าใจ"

พอเริ่มเข้าใจ ถ้าฟังต่อไปอีก จะเข้าใจขึ้นอีกไหม?

นี่ถึงจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ เป็น "คำสอน" ของพระองค์ จริงๆ

เพราะฉะนั้น ยุคนี้ สมัยนี้ ขาดประเพณี ขาดการฟังธรรมะ

และ ขาดประเพณี ที่จะศึกษา ให้เข้าใจ ประเพณีมีแต่ บวชพระ สวดมนต์

ท่านผู้ถาม มีคำถามเรื่องอินทรีย์ไม่แข็งแรง ไม่มีวัตถุ แล้วจะดึงคน

ให้มาฟังธรรม ได้อย่างไร?

ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวเลยค่ะ ไม่เกี่ยวเลย

ท่านผู้ถาม คือ บางทีเราไปกราบพระ แล้วเราถามท่าน ว่าท่านสร้างสิ่งใหญ่ๆ โตๆ

เพื่ออะไร? ท่านก็บอกว่า ในยุคนี้คนส่วนใหญ่ ท่านใช้คำว่า "อินทรีย์อ่อน"

ซึ่งบางที จะบรรยายธรรมก็เข้าใจยาก ก็เลยต้องมีวัตถุให้เขายึดไว้ก่อน อันนี้คือ

สิ่งที่ผมได้ยิน ได้ฟังมา ก็จะขอโอกาสท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ถามใช่ไม๊คะ? ทบทวนอีกทีหนึ่ง ที่ว่า การที่สร้างวัด หรือ สร้างวัตถุ

ที่ใหญ่โตมโหฬาร เพื่อที่จะดึงดูดคน ใช่ไม๊คะ?

แล้วเขาเกิดปัญญาหรือเปล่า?

คือ จุดประสงค์ของท่าน ต้องการอะไร?

หรือจุดประสงค์ที่เราสนทนากันนี้ ต้องการอะไร? ต้องการความจริง สัจจะ

ไม่ใช่ให้ งมงาย ให้เชื่อเลย พิจารณาสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังว่า ถูกต้องหรือเปล่า?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอด ๔๕ พรรษา ไม่ได้สร้างอะไร

แต่ว่า พระธรรมแต่ละคำ จากการบำเพ็ญพระบารมี สี่อสงไขยแสนกัปป์

หลังจากที่ได้ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว แปลว่า ก่อนหน้านั้น ก็ไม่นับเลย นานมาก

แล้วสอนอะไรคะ? ก็สอนให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ท้าทายเลย

เพราะอะไร? สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ใครจะรู้? สิ่งที่ยังไม่เกิด ก็ยังไม่เกิด สิ่งที่หมดไปแล้ว

ก็หมดไปแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้หรือเปล่า?

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ (แล้วทรง) ตรัสรู้อะไร?

ถ้าไม่ตรัสรู้ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่ง "คนอื่น" ไม่รู้ แม้ว่ามีจริงๆ

แล้วคำสอน เป็นคำสอนที่ ประกาศความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ซึ่งทรงตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยละเอียดยิ่ง โดยความเป็นจริง โดยประการทั้งปวง

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ "รู้" กับผู้ที่ "ไม่รู้" จะต่างกัน

ผู้ที่รู้ เขาสามารถที่จะรู้สิ่งที่คนอื่นถาม แล้วก็สามารถที่จะให้คนฟัง รู้ตาม เข้าใจตามได้

แต่คนที่ไม่รู้ อย่างไปถามเนี่ย สร้างทำไม? สร้างเพราะเหตุว่า จะดึงดูดคน

ไม่มีปัญญาอะไรเลย

แล้วอย่างนั้น จะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร?

แล้วตรงกันข้ามกับคำสอนเลยค่ะ เพราะว่าคำสอนของคนอื่น ทั้งหมดเลย

ที่ไม่ใช่ (คำสอน) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่อง "ติด"

แต่ว่า คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่อง "ละ"

แล้วที่จะ "ไม่รู้" แล้ว "ละ"

เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผล

เพราะฉะนั้น ที่ "ละได้" เพราะ "รู้"

แต่คนอื่นเนี่ย เพราะ "ไม่รู้" จึง "ละไม่ได้" และ จึง "ติด"

แล้วชวนให้คนอื่น "ติด" ไม่ใช่ชวนให้คนอื่น "ละ"

หรือ ชวนให้คนอื่น "รู้"

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ที่เราบอกว่า เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

พึ่งจากการที่ทรงตรัสรู้

สิ่งใด สามารถที่จะอนุเคราะห์ ให้เราได้รู้ตาม เข้าใจตาม

นี่เป็นประโยชน์ สูงสุด

เพราะว่า ตลอดทั้งชีวิตที่เกิดมา แล้วก็จากโลกนี้ไป

ก่อนเกิด ไม่มีคนนี้ใช่ไหม?

พอตายแล้ว คนนี้ ก็ไม่เหลือเลย

แล้ว ระหว่างนี้ ที่ยังไม่ตาย ที่เกิดมาแล้วนี้

ทำอะไรบ้าง?

มีสิ่งซึ่ง ไม่เหลือ ทั้งนั้นเลย

ตั้งแต่เด็ก ก็ไม่เหลือ

เมื่อเช้านี้ รับประทานอะไรบ้าง? เห็นไม๊คะ ก็ไม่เหลือ

แม้แต่ความทรงจำ ก็ยังจำไม่ทั่ว จำไม่หมด ลืมไป ลืมไป ลืมไป

ยังไม่ทันจากโลกนี้ไป ก็ลืมไปเสียหมดแล้ว

เพราะฉะนั้น แน่นอนที่สุด คือ จะไม่ได้อะไรเลย จากโลกนี้

นอกจาก ความติดข้อง กับ ความไม่รู้

มากขึ้นด้วย เพิ่มขึ้นด้วย

อย่างพฤติกรรม ของแต่ละคน เป็นไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ

อะไรต่ออะไร มากมาย มหาศาล

ก็เพราะ "ไม่รู้"

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ "อย่างเดียว" จริงๆ

ที่เกิดมาเป็น บุคคลนี้ มีโอกาส ได้ฟังพระธรรม นี่ไม่ใช่บังเอิญเลย

แล้วก็ สามารถที่จะเข้าใจ นี่คือ สิ่งเดียว ที่จะได้

จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในโลกนี้

ณ กาลครั้งหนึ่ง ในสถานที่ ที่ความจริงแล้ว มีเพียง "เห็น"

แต่ การเห็นนั้น จะไม่ประเสริฐเลย

ถ้าปราศจากความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลัง "เห็น"

.........

"...สิ่งที่เห็นทางตาทั้งหมดเป็นเพียงสีต่างๆ เมื่อจำความต่างของสี เป็นรูปร่าง ทำให้คิดนึกเป็นวัตถุบุคคลต่างๆ ความจริงเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาเท่านั้นหลง รัก ชอบ ติด ยึดมั่น

เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมเพียงเกิดขึ้นปรากฏ แล้วดับไปเท่านั้นระลึกรู้สภาพลักษณะที่กำลังปรากฏเพื่อละความยึดมั่นเห็นผิดว่าเป็นตัวตน..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 1 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"...ตลอดทั้งชีวิตที่เกิดมา แล้วก็จากโลกนี้ไป

ก่อนเกิด ไม่มีคนนี้ใช่ไหม?

พอตายแล้ว คนนี้ ก็ไม่เหลือเลย

แล้ว ระหว่างนี้ ที่ยังไม่ตาย ที่เกิดมาแล้วนี้

ทำอะไรบ้าง?..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kinder
วันที่ 1 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pat_jesty
วันที่ 2 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เข้าใจ
วันที่ 2 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Noparat
วันที่ 2 พ.ค. 2555

"พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอด ๔๕ พรรษา ไม่ได้สร้างอะไร

แต่ว่า พระธรรมแต่ละคำ จากการบำเพ็ญพระบารมี สี่อสงไขยแสนกัปป์

หลังจากที่ได้ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว แปลว่า ก่อนหน้านั้น ก็ไม่นับเลย นานมาก

แล้วสอนอะไรคะ? ก็สอนให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยและทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
NUWIE26
วันที่ 2 พ.ค. 2555

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพรักอย่างสูง

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
intra
วันที่ 3 พ.ค. 2555

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพรักอย่างสูง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 3 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
daris
วันที่ 4 พ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณครับที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ครับ

ท่านอาจารย์ไม่เคยละเลยที่จะกล่าวธรรมเพื่ออนุเคราะห์ผู้อื่นในทุกๆ โอกาสเลย

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ek1234
วันที่ 4 พ.ค. 2555

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพรักอย่างสูง และ ขออนุโมทนา

ในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 4 พ.ค. 2555

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ "อย่างเดียว" จริงๆ

ที่เกิดมาเป็น บุคคลนี้ มีโอกาส ได้ฟังพระธรรม นี่ไม่ใช่บังเอิญเลย

แล้วก็ สามารถที่จะเข้าใจ นี่คือ สิ่งเดียว ที่จะได้

จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในโลกนี้

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ "อย่างเดียว" จริงๆ

ที่เกิดมาเป็น บุคคลนี้ มีโอกาส ได้ฟังพระธรรม นี่ไม่ใช่บังเอิญเลย

แล้วก็ สามารถที่จะเข้าใจ นี่คือ สิ่งเดียว ที่จะได้

จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในโลกนี้

"เพียงเกิดขึ้นปรากฏ แล้วดับไปเท่านั้นระลึกรู้สภาพลักษณะที่กำลังปรากฏเพื่อละความยึดมั่นเห็นผิดว่าเป็นตัวตน..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chaweewanksyt
วันที่ 4 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

สาธุ

สาธุ

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pornpaon
วันที่ 5 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
raynu.p
วันที่ 8 พ.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Joe22
วันที่ 12 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและผู้อ่านทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chomchean
วันที่ 7 มิ.ย. 2555

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ "อย่างเดียว" จริงๆ

ที่เกิดมาเป็น บุคคลนี้ มีโอกาส ได้ฟังพระธรรม นี่ไม่ใช่บังเอิญเลย

แล้วก็ สามารถที่จะเข้าใจ นี่คือ สิ่งเดียว ที่จะได้

จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในโลกนี้

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ