การรู้จิต แต่ไม่ถึงตัวจิตสักที หมายถึงอะไร
เช่น ร้อน เราก็รู้ว่าร้อนเฉยๆ โกรธ เราก็ดูจิตว่ารู้ว่าโกรธเฉยๆ แบบนี้หรือเปล่า รู้อยู่เฉยๆ โดยไม่มีการปรุงแต่งสัญญาอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ขอผู้ปฏิบัติช่วยขยายความ
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา คือ การรู้ตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางดับกิเลสที่เป็นทางสายกลาง คือ อริยมรรค หรือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นการเจริญวิปัสสนา ซึ่ง ขาดปัญญาไม่ได้เลย ดังนั้น การเจริญวิปัสสนา จึงไม่ใช่ การดูจิตที่เพียงรู้ว่าโกรธเฉยๆ แต่ไม่ได้รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งที่กล่าวว่าไม่มี การปรุงแต่ง แต่ในความเป็นจริง คำว่า ปรุงแต่ง นั้น มีความละเอียดลึกซึ้ง โดยมากเราคิดว่า ถ้าเพียงเห็นเฉยๆ ไม่เป็นอกุศล ขณะนั้นไม่ปรุงแต่ง แต่ในความเป็นจริง สภาพธรรมที่ปรุงแต่ง คือ เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งให้จิตเกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อใดจิตเกิดขึ้น เจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็ปรุงแต่งแล้ว ดังนั้นขณะที่เพียงเห็น ยังไม่เป็นอกุศล เลย แต่เห็นก็เป็นจิตประเภทหนึ่ง มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ปรุงแต่งจิตแล้วในขณะนั้น ครับ การศึกษาพระธรรมจึงจะต้องละเอียดและเข้าใจคำแต่ละคำให้ถูกต้อง ก็จะไม่เข้าใจผิด ในข้อปฏฺบัติ ซึ่งในเรื่องการดูจิตนั้น ก็ไม่พ้นไปจากความต้องการอย่างละเอียด คือ การ จดจ้อง ซึ่งเราต้องมีความเข้าใจพื้นฐาน แม้ขั้นฟังเสียก่อนว่า ธัมมะทั้งหลายเป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่เขาจะเกิด ที่พูดกันว่า ดูจิต เขาย่อมหมายถึง สติเจตสิก แต่เราไม่ควรลืมว่าไม่มีใครบังคับบัญชาให้สติเกิดตามใจชอบได้ ถ้าตามดูจิตได้ สติก็คงจะเกิดบ่อยมาก คงบรรลุได้เร็ว สุญญสูตร ก็แสดงไว้แล้วว่า ว่างจากตน ตัวตน เป็นเพียงธัมมะ จึงไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับตามดูจิต แล้วใครจะไป ตามดูจิตได้ ทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัยครับ
อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดในการเจริญสติปัฏฐาน สติ ต้องมีปรมัตถธรรม เป็นอารมณ์ของสติ มีลักษณะให้สติระลึก นั่นคือ นามธรรม และรูปธรรม แต่ขณะที่ดูจิตที่กล่าวกันนั้น ขณะที่สภาพธัมมะเกิดก็ตามดู แต่ไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วขณะนั้น คิดนึก ถึงสภาพธัมมะที่ดับไปแล้ว ซึ่งขณะที่คิดนึก ขณะนั้นไม่ได้รู้ลักษณะที่เป็น นามธรรมและรูปธรรม ยกตัวอย่าง ขณะที่เห็นก็คิดนึกว่า ขณะนี้เห็นเป็นเพียงนามธรรม ชนิดหนึ่ง ซึ่งขณะที่คิดอย่างนั้น เราก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธ้มมะนั้นจริงๆ เป็นแต่เพียง คิดนึกถึงสภาพธัมมะที่ดับไปแล้วครับ คิดนึก จึงไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน ครับ ดังนั้นการรู้เฉยๆ ด้วยความคิดนึก ไม่ได้มีปัญญาที่รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จึงไม่ใช่ หนทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่เริ่มต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย และที่สำคัญ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า ชีวิตประจำวันเป็นธรรม มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ไม่เคย ปราศจากธรรม เลย แต่ที่ขาด คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก เมื่อไม่มีความเข้าใจถูก เห็นถูกแล้ว ก็อาจจะทำให้มีการประพฤติที่ผิด มีการไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน จดจ้องต้องการ โดยที่ไม่รู้เลยว่า นั่นเป็นความติดข้องต้องการที่ทำให้มีการกระทำที่ ผิดปกติอย่างนั้น
จึงขอให้เริ่มต้นที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ว่า สิ่งที่มีจริง ที่ควรฟัง ควรศึกษาให้เข้าใจนั้น คือ อะไร ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้เลย เมื่อมีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง จากการได้ฟังได้ศึกษาในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมและปัญญารู้ตามความเป็นจริงได้ โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ครับ.
..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
คนที่ไม่ศึกษาธรรมะก็รู้ว่าโกรธ แต่ต่างกับคนที่ศึกษาธรรมะ รู้ว่าโกรธเป็นธรรมะ ขณะนั้นเป็นปัญญาที่ไม่ยึดถือความโกรธว่าเป็นเรา แต่เป็นธรรมะจริงๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ธรรมไม่มีทำไง เพราะไม่มีใครทำ (ไม่มีเรา) "
"คิดหาแต่ทางลัดขณะนั้นเป็นเราหรือไม่?"
จึงขอให้เริ่มต้นที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ว่า สิ่งที่มีจริง ที่ควรฟัง ควรศึกษาให้เข้าใจนั้น คือ อะไร ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เลย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ