จะศึกษายังไงถึงจะตรงสาย
เราจะรู้ได้ยังไงว่าการศึกษาธรรมะ ถูกต้อง ถูกทาง ตรงสาย ตามพระพุทธเจ้าสอน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตรงสาย คือ ตรงตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าดำเนินตามทางที่ไม่ใช่หนทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั่น ไม่ตรงสาย
เพศของบรรพชิตเป็นเพศที่สูงยิ่ง ที่จะต้องมีความจริงใจในการที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเองให้ยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง หนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาจนสามารถที่จะขัดเกลาละคลายและสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นนั้น ก็คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ได้เลยทีเดียว เพราะว่าพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อปัญญาโดยตลอด ไม่ว่าจะทรงแสดงพระสูตรใด ส่วนใด ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง นอกจากนั้นแล้ว พระภิกษุจะต้องมีการสำรวมตามพระวินัยบัญญัติที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ โดยที่งดเว้นจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม และ น้อมประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาต ควบคู่ไปกับการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ชีวิตในเพศบรรพชิตก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์จริงๆ กล่าวคือ ได้มีการสำรวมระวังตามสิกขาบทต่างๆ ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ไม่ล่วงละเมิด ซึ่งก็คือไม่ต้องอาบัติข้อต่างๆ หรือ ถ้ามีการล่วงละเมิด ก็มีความจริงใจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ด้วยการตั้งใจที่จะไม่กระทำในสิ่งที่ผิดอีก นอกจากนั้นแล้ว ยังได้มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง ต่อไป และเมื่อตนเอง มีความเข้าใจถูกเห็นถูก (ซึ่งเป็นประโยชน์ของตนเองโดยตรงแล้ว) ก็จะสามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจธรรม ด้วยการกล่าวธรรมให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วย ตามกำลังปัญญาของตนเอง
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพศใด ก็ควรที่จะได้มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม เพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงทางสายตรง ไว้ดังนี้ ครับ
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 249
๖. อัจฉราสูตร
[๑๔๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ทางนั้นชื่อว่าเป็นทางตรง ทิศนั้น ชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มีเสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้น สติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้าว่าเป็นสารถี ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพานด้วยยานนี้แหละ.
จากพระคาถา อธิบายไว้ครับว่า
ทางสายตรง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นทางสายตรงที่ถึงพระนิพพาน
ดังนั้น ทางสายตรง ที่จะถึงพระนิพพาน ก็ไม่พ้นจากการอบรมปัญญาที่เป็นการเจริญอริยมรรค หรือ การเจริญสติปัฏฐานที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ดังพระคาถาที่ว่า มีสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญา ว่าเป็นสารถีที่เป็นหัวหน้า และเป็นเครื่องนำทาง ที่เป็นทางสายตรง สู่การดับกิเลส เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เป็นการรู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใชเรา เป็นทางสายตรง
ปัญญาไม่ได้เลือกที่จะเกิดเลยว่า ต้องเป็นเพศพระภิกษุ หรือ เป็นเพศฆราวาส จะเป็นชาย หรือ หญิง สมดังพระคาถาข้างต้นที่ว่า ยานชนิดนี้ (อริยมรรค) มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพานด้วยยานนี้แหละ (อริยมรรค) นั่น แสดงให้เห็นว่า การเจริญอบรมปัญญาที่เป็นการรู้ความจริงในขณะนี้ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘ สามารถอบรมได้ เกิดได้ ไม่ว่าจะเป็นพศอะไร ครับ ไม่ว่าจะเป็น ฆราวาส หรือ พระภิกษุ ชาย หรือ หญิง ปัญญาก็สามารถเกิดได้ สามารถอบรมทางสายตรง เพื่อถึงการดับกิเลส ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ครับ
ดังนั้น จากที่กล่าวมา เพื่อแสดงให้เห็นว่า ทางสายตรง คือ อะไรกันแน่ นั่นก็คือ การเจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นการเจริญอริยมรรค รู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม จะต้องไปบวชเป็นเพศพระภิกษุ เพราะทางสายตรงที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือ การเจริญสติปัฏฐาน อริยมรรค นั่นเอง ครับ ซึ่งสามารถอบรมได้ ทั้งชายและหญิงและทุกเพศ ทั้งฆราวาสและพระภิกษุ
ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่เดินทางสายตรง คือ การเจริญสติปัฏฐาน ก็มีทั้งเพศฆราวาสและพระภิกษุ และ มีผู้บรรลุในเพศฆราวาสมากมาย เพราะฉะนั้น สำคัญที่เข้าใจหนทางการดับกิเลสหรือไม่เป็นสำคัญ คือ มีปัญญาหรือไม่เป็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ เพศ ว่าจะเป็นพศพระภิกษุ หรือ เพศฆราวาส ครับ
ส่วนคำถามที่ว่า
เมื่ออุปสมบทแล้วควรปฏิบัติยังไงให้เกิดประโยชน์มากที่สุด แก่ตัวเราและมวลชน
เมื่ออุสมบทแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษาพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญให้เข้าใจ เพราะ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม ย่อมทำให้ประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเพศพระภิกษุ อันจะเกื้อกูลต่อการประพฤติปฏิบัติ และเกื้อกูลต่อการเจริญอบรมปัญญา เพื่อที่จะเจริญทางสายตรง คือ การเจริญสติปัฏฐาน เพื่อระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ
สำคัญที่ประโยชน์ตนก่อน คือ มีความเข้าใจพระธรรม และ ประพฤติตามพระวินัยบัญญัติตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง อย่างเคารพ และเมื่อปฏิบัตตนถูกต้องแล้ว และมีความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ย่อมสามารถเกื้อกูล กับ บริษัทอื่น คือ ให้ความเข้าใจพระธรรมกับอุบาสก อุบาสิกาด้วย และย่อมทำให้บุญของทายกที่ทำมีผลมาก เพราะ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนั่นเอง ก็เท่ากับว่า เป็นประโยชน์กับมวลชน ต่อส่วนรวมแล้ว เพราะ เราปฏิบัติดี คือ ศึกษาพระธรรม และ ประพฤติตามพระธรรมวินัย ครับ
ในครั้งพุทธกาล ผู้ที่มีอัธยาศัยในการบวชคือผู้ที่ต้องการหลีกหนีจากกามคุณ ๕ เป็นผู้ซึ่งมีปัญญาเห็นโทษในกิเลสที่ติดข้อง ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย จึงทิ้งทุกอย่าง ทั้งบุตร-ภรรยา-ญาติพี่น้อง, บ้านเรือน, ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อมุ่งขัดเกลากิเลสดุจสังข์ขัดและอบรมเจริญวิปัสสนาเพื่อการดับกิเลสให้หมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ
การบวชเป็นของยาก การรักษาพระวินัยยิ่งยากกว่า เพราะถ้าไม่ศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ ก็ทำให้ทำผิดพระวินัยได้ง่าย และ จะเกื้อกูลคนอื่นก็ยาก พระภิกษุเลือกอาหารก็ไม่ได้ บางครั้งอยากได้อาหารร้อนก็ได้อาหารเย็น ฯลฯ ถ้าบวชแล้วรักษาพระวินัยได้ และ เข้าใจธรรม ก็ทำให้เกื้อกูลทั้งตนเองและผู้อื่น ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ตรงสาย คือ ตรงตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "
" สำคัญที่เข้าใจหนทางการดับกิเลสหรือไม่ เป็นสำคัญ "
คือ มีปัญญาหรือไม่เป็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ เพศ ว่าจะเป็นเพศพระภิกษุ หรือ เพศฆราวาส ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น, อ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ