เรียกพระพุทธรูปว่าหลวงพ่อ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นเรื่องที่ละเอียดที่จะต้องพิจารณาร่วมกัน เมื่อกล่าวถึงคำว่า "หลวงพ่อ" ส่วนใหญ่แล้ว นึกถึงพระภิกษุที่มีอายุพรรษามาก นึกถึงตัวบุคคล พระพุทธรูป ไม่ใช่หลวงพ่อ ไม่ใช่พระภิกษุ แต่เป็นสิ่งที่ผู้มีศรัทธาได้สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์เป็นเครื่องเตือนให้น้อมระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์อยู่ตรงนี้ อยู่ที่การน้อมระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ โดยไม่มีใครเสมอเหมือน และที่ควรจะได้พิจารณาไตร่ตรอง คือพระพุทธศาสนา ไม่ได้อยู่ที่รูปวัตถุ แต่อยู่ที่พระธรรมคำสอนของพระองค์ที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งมีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นคำสอนของบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน วัตถุรูปต่างๆ ก็ไม่มีความหมาย เพราะถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม พระธรรมหรือพระพุทธศาสนาก็ย่อมจะอันตรธานจากใจของผู้นั้น ไม่สามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว พระพุทธรูป ไม่ควรจะมีการใส่ชื่อว่า หลวงพ่อนั้น หลวงพ่อ นี้ พระพุทธรูป ควรแก่การเคารพสักการะบูชา และเพื่อเป็นเครื่องเตือนให้น้อมระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น เพราะถ้าใส่หลวงพ่อ ไปด้วย คนอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนจากจุดประสงค์ของการสร้างพระพุทธรูปก็ได้ โดยที่ไม่ได้มุ่งไปที่เพื่อน้อมระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มุ่งไปที่อานุภาพของพระพุทธรูป การขอ เพื่อให้ตนเองได้สมปรารถนาในสิ่งที่ตนเองต้องการ เป็นต้น ก่อให้เกิดความหลงงมงาย ทำให้ห่างเหินจากการได้เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
สิ่งที่สำคัญที่สุด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมอบมรดกที่ล้ำค่าให้กับพุทธบริษัท คือ พระธรรม แต่ ... ผู้นั้นจะไม่ได้รับมรดกเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
กาลสมัยนี้ ยังเป็นช่วงเวลาที่พระธรรมยังดำรงอยู่ ก็ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาให้เข้าใจ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม น้อมไปในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้นเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ครับ.
..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อสมัยที่พระพุทธเจ้า จะปรินิพพาน พระองค์ทรงแสดงธรรม ในเรื่องการเรียกชื่อกันของภิกษุที่อ่อนพรรษากว่า เรียก ภิกษุที่มีพรรษามากกว่า และ ภิกษุที่มีพรรษามากกว่าเรียกภิกษุที่มีพรรษาอ่อนกว่า โดยพระองค์แสดงธรรมในเรื่องนี้ ดังนี้ ครับ ทรงตรัสให้ภิกษุเรียกกันโดยคารวะโวหาร (การพูดกันโดยเคารพ) ๒ อย่าง คือ
๑) ผู้มีพรรษามากกว่าเรียกผู้มีพรรษาน้อยกว่า ใช้คำว่า อาวุโส หรือ ออกชื่อ โคตร ก็ได้
๒) ผู้มีพรรษาน้อยกว่า เรียกผู้ผู้มีพรรษามากกว่า ใช้คำว่า ภันเต หรือ อายสมา ก็ได้
จะเห็นนะครับว่า พระพุทธองค์ ไม่ได้ เรียก พระภิกษุด้วยกัน ว่า หลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงตาแต่ให้เรียกกัน โดยออกชื่อ หรือ ใช้คำว่า ภันเต อายสมา เพราะฉะนั้น แม้พระภิกษุด้วยกันที่ ไม่ใช่ พระพุทธเจ้า ที่ถูกต้อง ก็ไม่เรียกว่า หลวงพ่อเลย จะกล่าวไปไย ถึงการเรียกพระพุทธเจ้า ที่ไม่ควร ใช้คำว่า หลวงพ่อ นำหน้า เหตุผลเพราะว่า พระพุทธเจ้า ทรงได้ ชื่อ เพราะ ไม่ใช่คนอื่นตั้งให้ แต่ชื่อของพระองค์ที่มีหลายชื่อได้ เพราะ คุณธรรมของพระองค์เอง ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ครับ
ดังนั้น แม้พระพุทธรูป ที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ที่ควร ก็ไม่ควรใช้คำว่า หลวงพ่อ นำหน้า เพราะ เป็นการตั้งชื่อ ใส่ชื่อให้ โดยปุถุชน แต่ไม่ใช่ ชื่อ โดยคุณธรรมของพระองค์เองที่มีอยู่แล้ว ดังนั้น พระพุทธรูป ที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ก็ควรเรียกตาม นาม หรือ ชื่อที่ได้จาก คุณธรรมของพระองค์เอง โดยไม่ควร ตั้งชื่อโดยปุถุชน มีหลวงพ่อนำหน้า ครับ ซึ่ง ชื่อ ของพระพุทธเจ้า มีหลากหลายชื่อ ตามคุณธรรมของพระองค์เองดังนี้ ครับ
พระพุทธเจ้า ธรรมกาย พรหมกาย ธรรมภูต พรหมภูต ธรรมราชา พระโลกนาถ พระผู้มีพระภาคเจ้า ภควา พระมเหสีเจ้า พระสัพพัญญู พระสุคต พระอังคีรส
ชื่อที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นชื่อของพระพุทธเจ้า ที่แสดงคุณธรรมประการต่างๆ เช่น พระโลกนาถ คือ ผู้ที่เป็นที่พึ่งของโลก พระมเหสีเจ้า คือ ผู้ที่แสวงหาคุณใหญ่ คือ คุณ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น ดังนั้น ชื่อเหล่านี้ ไม่มีใครตั้งให้พระองค์ แต่พระองค์ได้ชื่อเหล่านี้ เพราะ คุณธรรมของพระองค์เอง ครับ
ดังนั้น หากจะตั้งชื่อ พระพุทธรูป หรือ จะเรียกพระพุทธรูป ก็ควรเรียก โดยนาม ชื่อที่เป็นคุณธรรมของพระองค์ตามที่ได้กล่าวมา เช่น พระโลกนาถ พระอังคีรส พระสุคต อันแสดงถึงความเคารพสูงสุด ตามคุณธรรมของพระองค์ที่ได้ โดยไม่ใช้ชื่อหลวงพ่อนำหน้าเลย ครับ เพราะว่า ไม่ว่าพระพุทธรูปองค์ใดที่สร้างขึ้น จุดประสงค์ คือ เพื่อให้สัตว์โลก น้อมระลึกถึงพระคุณตามความเป็นจริง แม้การได้ยินชื่อของพระพุทธรูป ก็สามารถน้อมระลึกถึงพระคุณตามความเป็นจริงได้ ครับ
แต่ไม่ใช่เรียกชื่อ ว่า หลวงพ่อ เพื่อเป็นการรู้ว่า พระพุทธรูปหลวงพ่อนี้ศักดิ์สิทธิ์ ขออะไรก็ได้ นั่นก็เท่ากับว่า ไม่ตรงตามจุดประสงค์ เพราะเป็นไปเพื่อได้ ไม่ใช่เพื่อสละและไม่ทำให้เกิดกุศล คือ เกิดศรัทธาและกุศลธรรม เมื่อได้เห็นพระพุทธรูป และได้ฟังชื่อของพระพุทธรูปที่เป็นชื่อตามพระคุณของพระพุทธเจ้า ครับ
อีกประการหนึ่ง พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระปัญจวัคคีย์ไว้ครับว่า เธออย่าได้เรียกเราโดยออกชื่อ และ โคตร เพราะ ไม่เป็นการเคารพ ดังนั้น การเรียกพระพุทธรูป ก็ไม่ควร ครับ ในการออกชื่อ หรือ ใช้คำว่าหลวงพ่อนำหน้า แต่ควรใช้ พระคุณนาม ที่แสดงถึงคุณธรรมของพระพุทธเจ้า ตามที่ได้กล่าวมาจึงจะสมควร ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 41
เรื่องพระปัญจวัคคีย์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าเรียกตถาคตโดยระบุชื่อ และอย่าใช้คำว่า อาวุโส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ที่สำคัญที่สุด การใช้ หลวงพ่อ นำหน้า เรียกพระพุทธรูป ก็เท่ากับว่า ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ได้ เพราะ สำคัญว่า เป็นพระภิกษุที่มักใช้เรียกกัน ลืมไปว่า เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า และ ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน ในความเข้าใจพระธรรม เพราะ เมื่อกล่าวถึง พระพุทธรูปที่เป็นหลวงพ่อ ก็ย่อมนึกถึง ความศักดิ์สิทธิ์ ในด้านที่จะให้ความสุข เกิดสิ่งที่ดีๆ กับผู้ที่จะไปกราบไหว้ แต่พระพุทธรูป สร้างขึ้น เพื่อให้ระลึกถึงพระคุณและสละกิเลส และเกิดกุศล เมื่อได้เห็น ครับ อันเป็นเครื่องเตือนให้ทำความดี และสละขัดเกลากิเลสเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น ชื่อก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ หากชื่อผิดไป ก็ทำให้ความเข้าใจผิดของพุทธศาสนานิกชนผิดไปได้ด้วย ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ แทน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ผู้เห็นเกิดกุศลจิตระลึกถึงพุทธคุณ ไม่ให้ติดข้อง และ ที่สำคัญ ไม่ใช่หลวงพ่อ ค่ะ