ทำไม คนที่มีวิชา ถึงอยากลองวิชา

 
Searmsin
วันที่  19 พ.ค. 2555
หมายเลข  21138
อ่าน  2,694

กราบ นมัสการพระคุณเจ้า

๑. สาเหตุอะไรครับที่ คนที่มีวิชา ถึงอยากลองวิชาของตัวเอง

๒. แล้วคนที่โดนคุณไสยจำเป็นมั้ยที่จะต้องหนีบวชเพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อคนที่ทำคุณไสยต้องการให้เราหนีบวชหรือฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่ตัวเราและจิตใจของเราเองไม่พร้อมที่จะบวช หรือบวชในร่มกาสาวพัสตร์ (ส่วนตัวผมคิดว่าการที่มีธรรมะคุ้มครองจิตใจ น่าจะดีกว่าบวชแต่ตัว)

กราบขอบพระคุณพระคุณเจ้า


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจ ครับว่า วิชา คือ อะไรอย่างไรในพระพุทธศาสนา

วิชาในทางโลก หมายถึง ความรู้ที่เป็นศิลปะทางโลก ที่ไม่ใช่ ความรู้ในพระพุทธศาสนา คือ ไม่ใช่ปัญญา เพราะ วิชา หรือ วิชชาในพระพุทธศาสนา คือ ปัญญาที่รู้เห็นตามความเป็นจริงที่เป็นกุศลธรรม เห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ซึ่งเมื่อ วิชชา คือ ปัญญาเกิด ย่อมรู้ รู้และละ ละอะไร ละอกุศล ขัดเกลากิเลสในขณะนั้น ดังนั้น วิชาทางโลก เป็นไปในทางอกุศลที่เป็นไปในความติดข้อง ต้องการ จึงกลับมาสู่คำถามข้อที่ ๑ ว่า

๑. สาเหตุอะไรครับที่ คนที่มีวิชา ถึงอยากลองวิชาของตัวเอง

- ตามที่กล่าวมาแล้ว วิชาทางโลก ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์อะไรก็ตาม จะลี้ลับ หรือ วิชาการทางโลก ก็ไม่ใช่การรู้ตามความเป็นจริง จึงไม่ใช่ความรู้ที่เป็นปัญญา ที่เป็นไปเพื่อละอกุศล ดังนั้น ความรู้เหล่านั้น จึงเป็นความรู้ที่ไม่ใช่เพื่อการละ สละ แต่เป็นความรู้เพื่อตอบสนองกับตนเอง และเป็นไปในอกุศล ความติดข้อง ไม่มาก ก็น้อย ครับ

ดังนั้น เมื่อเป็นความรู้ที่เป็นอกุศล เป็นไปเพื่อได้ เพื่อติดข้อง ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศล คือ อยากจะลองวิชา อยากจะรู้ในสิ่งที่ตนเองได้เรียนมา เพราฉะนั้น สาเหตุที่อยากลองวิชา ก็ไม่ใช่อะไรอื่น สาเหตุก็มาจากกิเลสของตนเองนั่นเอง ที่เป็นโลภะ ความติดข้อง ในสิ่งที่ได้เรียนมา และอยากรู้ผลของการเรียนวิชาทางโลกนั้นว่าเป็นอย่างไร สาเหตุก็มาจากิเลส คือ โลภะเป็นปัจจัยให้เกิดโลภะ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 21 พ.ค. 2555

๒. แล้วคนที่โดนคุณไสยจำเป็นมั้ยที่จะต้องหนีบวชเพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อคนที่ทำคุณไสยต้องการให้เราหนีบวชหรือฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่ตัวเราและจิตใจของเราเองไม่พร้อมที่จะบวช หรือบวชในร่มกาสาวพัสตร์ (ส่วนตัวผมคิดว่าการที่มีธรรมะคุ้มครองจิตใจน่าจะดีกว่าบวชแต่ตัว)


- คุณไสย์ หรือ ไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความหลับใหล ทำให้ผู้คนหลับใหลด้วยความไม่รู้ และ ด้วยอกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ส่วน พุทธศาสตร์ หรือ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของท่านผู้รู้ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ด้วยพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณ คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

การโดนคุณไสย ก็เป็นเรื่องของการคิดนึก ที่คิดเอาเอง ว่าโดนคุณไสย เพราะในความเป็นจริง การได้รับสิ่งที่ดี หรือ ไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ใคร ที่คุณไสย แต่อยู่ที่กรรมในอดีตที่ทำมา หากกรรมดีให้ผล ใครจะทำอย่างไรกับเรา ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ และ หากกรรมไม่ดีให้ผล แม้ไม่มีใครทำคุณไสย กรรมไม่ดีก็ให้ผล โดยไม่มีใครทำให้เลย เช่นการเกิดในนรก การที่ก้อนหินตกใส่ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงต้องมั่นคงในเรื่องของกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากกรรมที่ตนเองทำมาเท่านั้น ครับ

จึงไม่จำเป็นจะต้องหนีไปบวช เพื่อหนีการโดนคุณไสย เพราะ ไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากกรรมของตนเอง แต่ สิ่งที่ควรทำ ควรเข้าใจ คือ เมื่อได้ฟังสิ่งอะไรมา ไม่ว่าจะเรื่องวิชา คุณไสย ประโยชน์ คือ เข้าใจถูกในเรื่องนั้น เมื่อมีความเข้าใจถูก ก็จำให้รู้ว่าสิ่งใดควรทำ ไม่ควรทำ และปัญญา ก็เจริญขึ้น และอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้นนั่นแหละ จะละความไม่รู้ ความเข้าใจผิด และอกุศลที่มีโทษอันตรายมากกว่าคุณไสยที่สำคัญผิดว่ามีใครทำอะไรเราได้ ทั้งๆ ที่ความจริง ศัตรูที่ร้ายกาจ น่ากลัวที่สุด ที่อยู่ใกล้ตัว ติดตามไปตลอด นั่นคือ กิเลสของตนเอง มีโลภะ โทสะ โมหะ ที่คอยทำร้ายจิตใจ และให้ดำเนินทางผิด และทำให้เกิดความทุกข์กายและใจ เพราะกิเลส เป็นสาเหตุสำคัญ ไม่ใช่ใครอื่นทำให้ได้ เลยครับ

ประโยชน์ที่สำคัญ แทนที่จะหนีไปบวชก็ศึกษาพระธรรม ฟังพะรธรรม เพื่อละ ศัตรูที่แท้จริง คือ กิเลส ครับ ซึ่งผู้ถามมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าสำคัญที่ใจ คือ ปัญญาเป็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่การบวช หรือ ไม่บวช ครับ

หมายเหตุ ไม่ได้เป็นพระ ครับ เป็นฆราวาส เป็นสหายธรรมร่วมกัน

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 21 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่ไม่รู้ เต็มไปด้วยความไม่รู้ คือ อวิชชา ก็มีความประพฤติเป็นไปคล้อยตามความไม่รู้ ซึ่งก็มีหลากหลายมาก เพราะถูกครอบงำไว้ด้วยความไม่รู้ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรคือสิ่งที่ควรกระทำ อะไรคือสิ่งที่ควรงดเว้น จึงมีการกระทำอะไรต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัยที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ทำให้ยิ่งเพิ่มกิเลสอกุศล เพิ่มความไม่รู้ และทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไป ซึ่งจะแตกต่างไปจากบุคคลผู้ที่รู้ ซึ่งเป็นการรู้ธรรม รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงที่ชีวิตจะเป็นไป คล้อยไปในทางที่ถูกที่ควรมากยิ่งขึ้น เพราะมีปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจากการได้ฟังพระธรรม ที่พรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเป็นเครื่องนำาทางชีวิตให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง จนกว่าจะสามารถดับได้ในที่สุด

ไม่วา่จะอยู่ ณ ที่ใด ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการได้รับผลของกรรมได้ ถ้าถึงคราวที่กรรมจะให้ผล, ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละวันแต่ละขณะ หลักๆ แล้ว ไม่พ้นไปจาก ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนหนึ่ง เป็นผลของกรรม และอีกส่วนหนึ่ง เป็นส่วนของการสะสมเหตุ ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้า และสะสมเป็นอุปนิสัยต่อไป ซึ่งมีทั้งดี บ้าง ไม่ดี บ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล

สำหรับผลของกรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นผลที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว เราไม่สามารถที่จะไปตัดหรือไปแก้อะไรได้ เพราะเกิดแล้วเป็นไปแล้วในขณะนั้น โดยไม่มีใครทำให้เลย แต่สิ่งที่ควรพิจารณา คือ ควรอย่างยิ่งที่จะได้สะสมเหตุที่ดี คือ กุศลธรรม เพราะบุคคลผุ้มีปัญญา พอท่านได้ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาในชีวิตประจำวัน จะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม สามารถพิจารณาตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นเพราะเราได้กระทำกรรมที่ไม่ดีไว้ กรรมไม่ดีถึงคราวให้ผล ผลที่ไม่ดีจึงเกิดขึ้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้ท่านได้มีความเพียร มีความตั้งใจที่จะสะสมกุศล ซึ่งเป็นเหตุที่ดี สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง ต่อไป

เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสที่สำคัญในชีวิต ก็คือ โอกาสที่จะทำให้ตนเองได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ โดยไม่จำเป็นต้องไปบวชก็ได้ สำคัญอยู่ที่ว่าจะเห็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน

ความเข้าใจพระธรรมนี้เอง จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน ในขณะที่กุศลธรรมเกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นการขัดเกลาอกุศล เป็นการละคลายเหตุที่ไม่ดี ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 21 พ.ค. 2555

มีวิชาก็อยากทดลอง เป็นธรรมดาของปุถุชน เพราะยังมีกิเลส ยังคะนอง ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีกิเลส ท่านมีวิชาก็ไม่โอ้อวด มีแต่ปกปิดคุณธรรม และ คนโดนคุณไสย ส่วนหนึ่งมาจากกรรมในอดีต และ อีกส่วนหนึ่ง ชาติปัจจุบันไม่มีศีล ไม่จำเป็นต้องหนีบวช เพียงแต่รักษาศีล ๕ ให้ดี และ ฟังธรรมะมากๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผิน
วันที่ 21 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 21 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. เพราะอวิชา

๒. ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกจากกรรมของตนเอง

ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการได้รับผลของกรรมได้

ถ้าถึงคราวที่กรรมจะให้ผล, (กรรมยุติธรรมเสมอ)

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Searmsin
วันที่ 22 พ.ค. 2555

ขอกราบขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
dhanan
วันที่ 22 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ