องค์ธรรมสำคัญที่ทรงตรัสรู้

 
dets25226
วันที่  23 พ.ค. 2555
หมายเลข  21153
อ่าน  1,543

ผมเคยฟังมาว่า คือ ปฏิจจสมุปบาท

ผมค่อนข้างสนใจแต่ยังไม่เข้าใจชัดว่า

๑. ความหมายโดยแท้ของปฏิจจสมุปบาทนั้น คืออะไร มีความสำคัญที่ต้องรู้และศึกษาอย่างไร

๒. ปฏิจจสมุปบาทกับชีวิตประจำวันเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ด้วยความเคารพและชื่นชมอย่างสูง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 23 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

- เมื่อกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องมีความเข้าใจในคำที่กำลังกล่าวถึงด้วย

คำว่า ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นด้วยดี คือ เป็นไปตามลำดับโดยอาศัยปัจจัย เป็นธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เป็นเหตุ เป็นผล ที่ทำให้สังสารวัฏฏ์เป็นไป ทรงแสดงถึงเหตุและผลที่เกิดจากเหตุ ปฏิจจสมุปบาทไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นจิต เจตสิก และ รูป เมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว เพราะมีวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดในภพต่อไป มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไป

ปฏิจจสมุปบาท มีทั้งส่วนที่เป็นกิเลส กรรม และ วิบาก แม้แต่ในขณะนี้ ก็เป็นปฏิจจสมุปบาท ด้วย อย่างเช่น จิตเห็นขณนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะถ้าไม่มีเหตุปัจจัย จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะมีกรรมเป็นปัจจัย แล้วกรรมมาจากไหน ถ้าไม่มีอวิชชาเป็นเหตุ ให้มีการกระทำกรรม ซึ่งเนื่องมาจากยังมีการเกิดอยู่นั่นเอง และที่สำคัญ สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ นั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงเลย ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการตามความเป็นจริง แม้แต่ปฏิจจสมุปบาท ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นปรมัตถธรรม แต่ทรงแสดงโดยนัยที่เป็นปัจจัย อาศัยกันเกิดขึ้นโดยปัจจัยต่างๆ จากที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง เป็นสิ่งที่ควรศึกษา เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง จากที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจก็จะเข้าใจขึ้น ละคลายความเห็นผิด ละคลายความไม่รู้ เป็นต้น เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องเริ่มต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

- จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อความเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้น และที่สำคัญ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใด ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง และมีจริงในขณะนี้ด้วย รวมถึงปฏิจจสมุปบาทด้วย หรือ จะกล่าวว่า ปฏิจจสมุปบาท คือ ขณะนี้ เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ก็ได้

พระธรรมทั้งหมดเพื่อศึกษาให้เข้าใจตามความเป็นจริง ตั้งต้นด้วยการฟังพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบไตร่ตรองในเหตุในผลที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่งในที่สุดแล้ว ผลสูงสุดของการได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง คือ สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ซึ่งเป็นบุคคลที่จะสามารถทำลายวงจรของปฏิจจสมุปบาท ได้ทั้งหมด กล่าวคือ ละอวิชชาอันเป็นต้นเหตุของสังสารวัฏฏ์ได้ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีสภาพธรรม ที่เป็นจิต เจตสิกและรูปเกิดขึ้นอีกเลย เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง

เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว พระธรรมทั้งหมด ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษาก็เพื่อเข้าใจ แม้แต่เรื่องของปฏิจจสมุปบาท ก็เพื่อเข้าใจ ถ้าไม่มีปัญญา ซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูก ก็จะดับอวิชชาไม่ได้ การที่จะเข้าใจธรรม ต้องเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด ที่จะไม่มีปัจจัยที่ทำให้เกิด ย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับประเภทใดก็ตาม

พระพุทธศาสนา เป็นพระธรรมคำสอนให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง กล่าวได้ว่าไม่พ้นไปจากชีวิตทั้งชีวิตเลย เป็นธรรม ถ้ายังไม่รู้สภาพธรรมเหล่านี้ ก็ยังไม่ชื่อว่าได้ศึกษาพระพุทธศาสนา แม้แต่ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ชีวิตของเรา ไม่พ้นไปจากกิเลส กรรมและวิบาก มีแต่ธรรมทั้งหมดจริงๆ ซึ่งจะต้องฟัง ต้องศึกษา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 23 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ความหมายโดยแท้ของปฏิจจสมุปบาทนั้น คืออะไร มีความสำคัญที่ต้องรู้และศึกษาอย่างไร


ปฏิจจสมุปบาท คือ ความเป็นไปของสังสารวัฏฏ์ คือ การเกิดขึ้นของ จิต เจตสิกและรูปโดยอาศัยปัจจัยต่างๆ โดยมีสภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้มี จึงมีสิ่งนี้ เช่น เมื่อมีอวิชชาก็มีการเกิด จะไม่มีไม่ได้ เป็นต้น

ปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงธรรมโดยนัยที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างมาก โดยนัยความเป็นเหตุปัจจัยของกันและกันของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ปัญญาขั้นแรกนั้น ยังไม่สามารถที่จะรู้ความละเอียดของการเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม ที่เป็นปฏิจจสมุปบาทได้จริงๆ เพียงแต่เราสามารถศึกษาให้เข้าใจ เพียงเข้าใจเบื้องต้นครับว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงถึง ความจริง คือ จิต เจตสิก รูปที่ไม่ใช่เรา ว่าจะต้องมีเหตุ จึงจะเกิดขึ้น เหตุก็คือ ธรรมแต่ละอย่างที่จะทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ความสำคัญที่ต้องรู้ในปฏิจจสมุปบาท คือ ไม่ใช่การจำชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาทมีอะไรบ้างให้ได้ทั้งหมด แต่ประโยชน์ ความสำคัญที่ควรรู้ ในปฏิจจสมุปบาท คือ เข้าใจความจริงว่า มีแต่ธรรมเป็นไปเท่านั้น ไม่มีเราเลย ไม่มีสัตว์ บุคคล มีแต่ จิต เจตสิกและรูปที่เป็นไป

และที่สำคัญที่สุด คือ แสดงถึง ความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะ สภาพธรรมแต่ละอย่าง จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เช่น จะเกิดได้ (วิญญาณ) ก็ต้องมีการทำกรรม ที่เป็นกุศลกรรม อกุศลกรรม ที่เป็นอภิสังขาร เป็นต้น ครับ นี่แสดงถึงว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลที่จะทำอะไรได้ นอกจากเหตุปัจจัย ทำให้เป็นไปอย่างนั้น การศึกษาปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้อง จึงเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส ความไม่รู้ และ ละคลายความเห็นผิดว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน ครับ นี่คือ ความสำคัญที่ต้องรู้

ซึ่ง การจะศึกษาปฺฏิจจสมุปบาท ก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจพื้นฐาน ว่า ธรรมคืออะไร เป็นอย่างไรบ้าง และเมื่อเข้าใจ ก็ฟังเรื่องสภาพธรรมในส่วนอื่นๆ ก็จะทำให้เข้าใจความเป็นธรรม และ เมื่อเข้าใจพื้นฐานดีพอ ก็จะเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทได้เข้าใจขึ้น โดยไม่ได้ให้ความสำคัญในการจำชื่อองค์แต่ละองค์ในปฏิจจสมุปบาทเลย ครับ เพราะ สำคัญ คือ ละความไม่รู้ และความเห็นผิดว่า มีเรา มีสัตว์ บุคคล ไม่ว่าจะศึกษาพระธรรมในเรื่องใด เป็นสำคัญ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 23 พ.ค. 2555

๒. ปฏิจจสมุปบาทกับชีวิตประจำวันเกี่ยวข้องกันอย่างไร

- ตามที่กล่าวแล้ว ปฏิจจสมุปบาท คือ การแสดงถึง สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นเป็นไป เพราะอาศัยเหตุปัจจัย คือ สภาพธรรมอื่นๆ ทำให้เกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ก็มี จิต เจตสิกและรูปด้วย การเกิดขึ้น ของจิตแต่ละประเภทก็ไม่พ้น เหตุปัจจัยแต่ละอย่าง ก็แสดงถึงความเป็นไปของจิต เจตสิกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่ จิตเห็น เกิดขึ้นได้ เพราะ อาศัย กรรมในอดีต ก็ไม่พ้นจากชีวิตประจำวัน และ ขณะที่กุศลจิตเกิด หรือ อกุศลจิตเกิด (วิญญาณ) ก็เป็นปัจจัยให้เกิด นาม รูป ด้วย คือ เจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตนั้น รวมทั้ง จิตตชรูป รูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน เป็นเหตุ นี่ก็แสดงถึง ปฏิจจสมุปบาท ก็เป็นไปในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เพราะ ปฏิจจสมุปบาท ย่อมไม่พ้นจาก จิต เจตสิกและรูป และ จิต เจตสิกและรูป ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วย เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาท จึงครอบคลุมความเป็นไปของสภาพธรรมทั้งหมด ทั้งข้ามภพข้ามชาติและขณะนี้ ที่เป็นปัจจุบันด้วย ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
dets25226
วันที่ 24 พ.ค. 2555

"การศึกษาปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้อง จึงเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส ความไม่รู้ และ ละคลายความเห็นผิดว่า มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ครับ นี่ คือ ความสำคัญที่ต้องรู้"

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ ว่า

ธรรมข้อนี้ เป็นไปในชีวิตประจำวัน เพื่อให้รู้สภาพความเป็นจริงของสิ่งที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น มิใช่ตัวตนของใครทั้งสิ้น ซึ่งประเด็นสำคัญก็คือ ธรรมข้อนี้ แสดงถึงหตุเกิดและความดับไปแห่งทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงเป็นธรรมที่ควรมีการทำความเข้าใจเป็นพิเศษในปฏิจจสมุปบาท อวิชชามีเหตุเกิดหรือไม่ หรือว่า อวิชชา เป็นตัวเหตุของสิ่งทั้งปวง?

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 24 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 24 พ.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 4 ครับ

จากคำถามที่ว่า

ในปฏิจจสมุปบาท อวิชชามีเหตุเกิดหรือไม่ หรือว่า อวิชชา เป็นตัวเหตุของสิ่งทั้งปวง?


- พระพุทธเจ้าทรงแสดง เบื้องต้นของสังสารวัฏฏ์ เพราะอาศัย อวิชชาเป็นปัจจัย แต่ในที่นี้ หมายถึง ความเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป ที่นับเนื่องในสิ่งมีชีวิต ไม่ได้หมายถึงอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดสิ่งทั้งปวงที่เป็น ต้นไม้ ภูเขา จักรวาลที่ไม่มีชีวิตครับ เพราะฉะนั้น เพราะมีอวิชชา จึงมีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก รูป ที่บัญญัติว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งมีชีวิต ครับ

แต่ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงความละเอียดของธรรม โดยแสดงเหตุเกิดของอวิชชาก็มี โดยการเกิดขึ้นพร้อมกันใขณะนั้น นั่นก็คือ อกุศลกรรม ที่ชื่อว่า นิวรณ์ เป็นเหตุให้เกิดอวิชชา โดยนัยเกิดร่วมกัน ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ที่ว่า

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 197

๑. อวิชชาสูตร

[๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ, ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีข้อนี้เป็นปัจจัยจึงปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวอวิชชาว่ามีอาหาร (เหตุ) มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหารก็อะไรเป็นอาหารของอวิชชา ควรจะกล่าวว่านิวรณ์ ๕

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 25 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 25 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นด้วยดี คือเป็นไปตามลำดับโดยอาศัยปัจจัยเป็นธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เป็นเหตุ เป็นผลที่ทำให้สังสารวัฏฏ์เป็นไป ทรงแสดงถึงเหตุและผลที่เกิดจากเหตุ

ความสำคัญที่ควรรู้ ในปฏิจจสมุปบาท คือ เข้าใจความจริงว่า มีแต่ธรรมเป็นไปเท่านั้น ไม่มีเราเลย ไม่มีสัตว์ บุคคล มีแต่ จิต เจตสิกและรูปที่เป็นไป

ปฏิจจสมุปบาทย่อมไม่พ้นจาก จิต เจตสิกและรูป และ จิต เจตสิกและรูป ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วย

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pat_jesty
วันที่ 25 พ.ค. 2555

สังสารวัฏฏ์ยาวนานมาก หาต้นหาปลายไม่เจอ แม้ไม่ได้ทรงแสดงต้นกำเนิดที่เริ่มจากศูนย์ของเหตุที่ทำให้เกิดไว้ชัดเจน แต่พระธรรมที่ทรงแสดงตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษานั้น เพียงพอต่อการอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งรู้แจ้งแทงตลอดได้ ซึ่งเห็นได้จากผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์มาแล้วมากมายในสมัยพุทธกาล

ดังนั้น เมื่อมั่นคงในเหตุและผล ก็สามารถเข้าใจได้ว่า ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งใดเลยที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ จะคิดเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะขณะนี้ อวิชชา เกิดแล้ว มีแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจถูกในสิ่งที่มีที่ปรากฏให้รู้ได้ ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม คือ การให้เข้าใจถูก เห็นถูกสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอ.คำปั่น, อ.ผเดิม และทุกท่านด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ