สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงหรือ? ดลบันดาลให้ใครต่อใครดีชั่วได้??

 
khundong
วันที่  26 พ.ค. 2555
หมายเลข  21170
อ่าน  5,009

ทุกสิ่งทุกอย่างมีจริง เกิด+ดับ ตลอดเวลา การสะสมสันดาน ดี+ไม่ดี เป็นเหตุปัจจัยใหม่ต่อไปในอนาคต กรรมใครกรรมมัน

แต่ชาวพุทธส่วนใหญ่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ มีคำอธิบายในพระสูตรอย่างไรบ้างครับ

ขอขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การจะได้รับสิ่งที่ดี ได้รับผลของกรรมที่ดี ต้องมีเหตุ ดังนั้นเหตุที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่เป็นผลของกรรมดี ได้รับการช่วยเหลือ เป็นต้น เพราะกรรมดีที่เป็นกุศลกรรมที่ได้ทำมา ให้ผลนั่นเองครับ ดังนั้น จึงไม่ใช่เกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือดลบันดาล ให้เราได้รับสิ่งที่ดี หากไม่มีกรรมดีที่ทำมาแล้ว ก็จะไม่มีทางได้รับสิ่งที่ดีได้เลย เพราะการช่วยเหลือหรือการได้รับสิ่งที่ดี ที่เป็นผลของกรรมดี เหตุจะต้องตรงกับผลคือเกิดจากการกระทำที่ดีนั่นเองที่เป็นเหตุ ครับ

ดังนั้น สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถที่จะมีใคร มีสัตว์ บุคคล บันดาลให้ ... ไม่มี เพราะมีแต่สภาพธรรม ที่เป็นจิต เจตสิก และรูปที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีสัตว์ บุคคล เมื่อไม่มี สัตว์ บุคคล ก็ไม่มีใครบันดาลและไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัตว์ บุคคลด้วย เพราะฉะนั้น ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ที่เป็นไปตามสัจจะ ความจริง ศักดิ์สิทธิ์ไม่เปลี่ยนแปลง คือ ทำดีก็ย่อมได้รับผลดี ทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว การได้รับการช่วยเหลือ ได้รับสิ่งที่ดี ก็เพราะการทำดีเป็นปัจจัยนั่นเอง ครับ ดังนั้น กรรม ต่างหากที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะแม้เทวดา พรหม ที่คิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่พ้นไปจากกรรม และตัวเทวดาเองและพรหมเอง ก็ต้องได้รับผลของกรรมที่ตัวเองทำมา ไม่สามารถบันดาลให้ตัวเองไม่ตาย ได้รับผลของกรรมดีได้ตลอด เพราะเป็นไปตามอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของกรรม ไม่ใช่เพราะของตัวเองครับ จึงไม่ใช่พรหมลิขิต ไม่ใช่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัตว์ บุคคล แต่เป็นกรรมลิขิต คือ สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 26 พ.ค. 2555

ส่วนในเรื่องของการจะเป็นคนดี คนชั่วนั้น พระพุทธศาสนา แสดงว่าเป็นเรื่องของการสะสมมาของจิตของแต่ละคนในอดีต ไม่มีใครจะดี จะชั่ว เพราะคนอื่น มาบันดาลให้ดี หรือ ชั่ว แต่การกระทำของบุคคลนั้นเอง ที่จะเป็นการแสดงถึงความดี ความชั่ว ของตัวเอง ครับ

ดังเช่น ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงกับพวกพราหมณ์ว่า การจะเป็นคนดี คนชั่ว ไม่ได้อยู่ที่พรหมบันดาล มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล ไม่ได้อยู่ที่ชาติการเกิด ว่าเกิดจากบุคคลนั้น บุคคลนี้ ที่สมมติว่าเป็นวรรณะที่ประเสริฐ แต่การจะเป็นคนดี คนชั่ว อยู่ที่การกระทำของท่านเอง หากทำกรรมดี ขณะนั้น ก็ชื่อว่า เป็นคนดีโดยสมมติในขณะนั้น ขณะที่ทำกรรมชั่ว ขณะนั้นเป็นคนชั่วโดยสมมติในขณะนั้น ครับ

และพระพุทธเจ้าทรงแสดง ในเรื่องว่า ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล ที่จะได้รับผลดีหรือไม่ดี แต่สัตว์ทั้งหลาย เป็นไปตามอำนาจของกรรม ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านตรงนี้

ข้อความบางตอน ธรรมปริยายสูตร [อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต]

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 26 พ.ค. 2555

ในพระสูตรอื่นก็แสดงไว้ครับว่า ความทุกข์ การได้รับสิ่งไม่ดี ไม่ได้เกิดจากบุคคลอื่นบันดาล มี พระอิศวร เป็นต้น แต่เกิดจากกิเลสของตนเอง คือ ตัณหา โลภะที่มี ครับ

ดังข้อความที่ว่า

ขอเชิญคลิกอ่านตรงนี้

ทุกข์ มีเพราะตัณหา [วิภังค์]


และพระพุทธเจ้า ก็ทรงแสดง อีกครับว่า การได้รับสิ่งที่เป็นความสุข และ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ใคร ที่พระเจ้า ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการจะดี จะชั่ว ไม่ได้อยู่ที่ใครทำให้ บันดาล แต่อยู่ที่การกระทำของตนเอง ครับ ดังข้อความที่ว่า

ขอเชิญคลิกอ่านตรงนี้

ติตถสูตร [อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต]


ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

กมฺมสฺสโกมหิ มีกรรมเป็นของตน ใครจะทำกรรมแทนใคร หรือจะมอบกรรมที่ตนทำไว้ให้คนอื่นไม่ได้

กมฺมทายาโท เป็นทายาทของกรรม ผู้ใดทำกรรมไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ผู้ที่จะรับผลกรรมนั้น แทนผู้ทำกรรมไม่ได้

กมฺมโยนิ มีกรรมเป็นกำเนิด กรรมย่อมจำแนกสัตว์โลกให้เกิดในที่ต่างๆ เช่น ต่างด้วยที่เกิด ด้วยคติ ด้วยกำเนิด ด้วยรูปร่าง ด้วยตระกูล ด้วยทรัพย์ เป็นต้น

กมฺมพนฺธุ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมติดตาม เหมือนเผ่าพันธ์ุวงศ์ญาติ ที่คอยอุปถัมภ์หรือเบียดเบียน กรรมดีก็เหมือนวงศ์ญาติที่ดี กรรมชั่วก็เหมือนวงศ์ญาติชั่ว ความจริงนั้น กรรมเท่านั้นที่เป็นเผ่าพันธ์ุวงศ์ญาติที่แท้จริงของผู้ทำกรรม เพราะเมื่อกรรมใดมีโอกาสให้ผล แม้แต่พ่อแม่พี่น้อง หรือผู้ที่รักก็ช่วยเหลือแก้ไข หรือเบียดเบียนผลของกรรมนั้นไม่ได้ การได้รับสุข ทุกข์ อันเป็นผลของกรรมของแต่ละคนนั้น ย่อมเป็นไปตามกรรมของผู้นั้นเอง ทุกคนจึงมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์วงศ์ญาติที่แท้จริง

กมฺมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมดีและกรรมชั่วที่ผู้ใดได้กระทำไว้ ย่อมเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของผู้นั้นญาติพี่น้อง มิตรสหายหรือผู้ศักด์สิทธิ์ ก็เป็นที่พึ่งให้ไม่ได้เลย เพราะเมื่อถึงโอกาสกรรมให้ผล ไม่มีใครขัดขวางการให้ผลของกรรมได้เลย

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 26 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
อิสระ
วันที่ 26 พ.ค. 2555

{^_________________^}/ ขออนุโมทนาอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 26 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องป้องกันความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง พระธรรมย่อมจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง ทำให้มีความมั่นคงในความเป็นจริง มั่นคงในความถูกต้อง ไม่หวั่นไหวคล้อยตามในสิ่งที่ผิด ไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระองค์ เกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ ซึ่งกว่าจะได้ทรงตรัสรู้นั้น ต้องอาศัยการสะสมพระบารมีมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ย่อมไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริง แม้แต่ในเรื่องกรรมและผลของกรรม ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปทุกประเภท ไม่มีเลยที่จะเกิดโดยปราศจากเหตุปัจจัย ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ซึ่งแสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษาในเรื่องกรรมและผลของกรรม ก็จะทำให้เข้าใจละเอียดยิ่งขึ้น มีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มขึ้น คือ มีความจริงใจที่จะสะสมเหตุที่ดีคือกุศลทุกประการต่อไป พร้อมกันนั้นก็ละเว้นในสิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่ควร ซึ่งเป็นกุศลกรรม และมีความมั่นคงในเรื่องผลของกรรมด้วย กล่าวคือ เมื่อได้รับผลของกุศลกรรม ก็จะไม่โทษคนอื่น แต่เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นว่า ในเมื่อเป็นกุศลกรรมที่ตนได้กระทำไว้ ผลที่ไม่น่าปรารถนา จึงเกิดขึ้น ไม่ใช่คนอื่นกระทำให้เลย ผลที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุที่ไม่ดี คืออกุศลกรรมที่ตนได้กระทำไว้แล้ หรือถ้าได้รับผลของกรรมที่ดี ก็จะเป็นผู้ไม่หลงระเริง ไม่มัวเมาด้วยอำนาจของกุศลธรรม ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา อันเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน นั่นเอง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 27 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป"

"เหตุดีผลก็ย่อมดี"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 28 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khundong
วันที่ 1 มิ.ย. 2555

ขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ

พุทธบริษัทย่อมถวายความนอบน้อมสักการะพระธรรมอันประเสริฐสุดของพระผู้มีพระภาค ตามความรู้ตามพระธรรมวินัย แม้ผู้ใดเห็นพระวรกายของพระองค์ ได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ หรือแม้ได้จับชายสังฆาฏิติดตามพระองค์ไป แต่ไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม ผู้นั้นก็หาได้เห็นพระองค์ไม่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต

ขอเชิญคลิกอ่านตรงนี้

สังฆาฏิสูตร [ขุททกนิกาย อิติวุตตก]

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ