การรู้เท่าทันกิเลส

 
totocom107
วันที่  30 พ.ค. 2555
หมายเลข  21200
อ่าน  2,462

เมื่อมีแรงปะทะอารมณ์เข้ามา รู้เท่าทัน จิตไม่เข้าไปปรุงอารมณ์เพิ่มเติม

ปล่อยให้อารมณ์เกิดขึ้นแล้วดับไป


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 31 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียนร่วมสนทนาในประเด็นนี้ครับ

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก และ ลึกซึ้ง โดยเฉพาะในเรื่องหนทางการดับกิเลส ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐานนั้น ก็ต้องเป็นผู้ละเอียด และ เข้าใจในพระธรรมสอดคล้อง ทั้ง ๓ ปิฎก โดยเฉพาะ พระอภิธรรมเป็นสำคัญด้วย ครับ

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงไว้ครับ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่สติและปัญญา ที่เป็นสติปัฏฐาน ที่เป็นการรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็เป็นอนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้ หมายถึง ไม่สามารถบังคับให้สติและปัญญาเกิดได้ตามใจชอบ แล้วแต่ว่า สติและปัญญาจะเกิดรู้ความจริงหรือไม่ ครับ เพราะฉะนั้น การเข้าใจพระธรรม เริ่มทีละคำ ครับ

จิต เป็นสภาพรู้ เมื่อเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่า อารมณ์ ดังนั้น ขณะที่จิตเกิดขึ้นมีอารมณ์แล้ว โดยไม่ใช่เป็นแรงปะทะตามชาวโลกเข้าใจ แต่เป็นการแสดงถึงลักษณะของจิต ที่เมื่อเกิดขึ้น ก็มีอารมณ์ เช่น จิตเห็นเกิดขึ้น ก็มีสี ที่เป็นอารมณ์ สี ไม่ได้มาปะทะ จิต จิตทำหน้าที่รู้ เท่านั้นครับ

คำว่า ปรุงแต่ง

ปรุงแต่ง ในที่นี้ ก็ต้องเข้าใจว่า อะไรที่ปรุงแต่ง เมื่อจิตเกิดขึ้น ก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย สภาพธรรมที่เป็นเจตสิก ชื่อว่า ปรุงแต่ง คือ ปรุงแต่งให้จิตเกิดขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตใดจิตหนึ่งเกิดขึ้น ชื่อว่า ปรุงแต่งแล้ว เพราะโดยมาก ความเข้าใจเดิม เข้าใจกันว่า ขณะใดที่เป็นอกุศลจิต ชื่อว่า ปรุงแต่ง แต่ในความเป็นจริง จิตทุกประเภทที่เกิดขึ้น ปรุงแต่งแล้ว ขณะนี้เห็น ยังไม่เป็นกุศล อกุศลเลย ปรุงแต่งแล้ว ด้วยเจตสิกที่เกิดขึ้น แม้ขณะที่กุศลจิตเกิด ไม่ใช่อกุศลจิต ก็ปรุงแต่งแล้ว ด้วยเจตสิกที่ปรุงแต่งให้กุศลจิตเกิดขึ้น ครับ นี่คือ ความละเอียดของคำว่าปรุงแต่ง กลับมาสู่ ความเข้าใจพื้นฐาน ในเรื่องพระอภิธรรม ที่แสดงว่า ธรรมทั้งหลาย บังคับบัญชาไม่ได้ การเจริญสติปัฏฐาน ก็บังคับไม่ได้ เช่นกัน คือ บังคับให้ สติและปัญญาเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อ สภาพธรรมใดจะปรากฏ จึงไม่มีตัวตนที่จะทำให้สติและปัญญาเกิด และไม่มีตัวตนที่จะปล่อย เพราะ ไม่มีใครปล่อยอะไรได้ มีแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นไป และไม่มีใครที่จะทำให้ไม่ปรุงแต่ง เพราะปรุงแต่งแล้ว แม้เพียงเห็น และเมื่อเห็นเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครที่จะทำให้รู้ความจริงของเห็นได้ หากสติและปัญญาเกิด ครับ

นี่คือ การกลับมาสู่ความเข้าใจถูก ในการเจริญสติปัฏฐาน โดยเริ่มจากความเข้าใจเบื้องต้นว่า เป็นอนัตตา เมื่อไหร่ที่จะทำ จะปล่อย ลืมความเป็นอนัตตา ก็ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนาที่ถูกต้อง ครับ ซึ่ง สติปัฏฐานจะเกิดได้ ก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจในขั้นการฟังถูกต้อง หากเข้าใจขึ้น การฟังผิดตั้งแต่ต้น ย่อมทำให้ปฏิบัติผิดไปด้วย ครับ

เพราฉะนั้น ควรเริ่มกลับมาสู่การฟังพระธรรม ความเข้าใจใหม่ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากขั้นการฟังทีละน้อย ย่อมเกื้อกูลให้ปฏิบัติถูกในอนาคต ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 31 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในสังสารวัฏฏ์ที่เกิดมา เราได้สะสมกิเลสมามาก (กิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง) เมื่อสะสมกิเลสมามาก กิเลสจึงเกิดมากเป็นธรรมดา

ในแต่ละวันๆ อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปมากทีเดียว เทียบส่วนกันไม่ได้เลยกับกุศล เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จะบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ แม้จะได้พบพระพุทธศาสนาแต่ก็ได้ฟังพระธรรมน้อยกว่าฟังเรื่องอย่างอื่น ปัญญาจึงน้อย เจริญช้า ดังนั้น เมื่อปัญญายังน้อย ก็ไม่มีกำลังที่จะทำอะไรกับกิเลสได้ กิเลสจึงเกิดบ่อยมากในชีวิตประจำวัน ทั้งโลภะ ความติดข้องต้องการ โทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ โมหะ ความหลง ความไม่รู้ อิสสา (ความ ริษยา) มัจฉริยะ ความตระหนี่ เป็นต้น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเกื้อกูลพุทธบริษัทให้ศึกษา คือ รู้อกุศลธรรมและสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง การศึกษาคือรู้อกุศลธรรมตามความเป็นจริง เป็นหนทางเพื่อการดับอกุศลเหล่านั้น ฉะนั้นในเบื้องต้นเมื่อปัญญายังไม่เพียงพอ ย่อมดับกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ก็ย่อมจะไม่เดือดร้อนกับอกุศลที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ดังนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป เพราะกิเลสที่มีมาก ต้องอาศัยปัญญา เท่านั้น จึงจะดับให้หมดสิ้นได้ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 31 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 31 พ.ค. 2555

ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่สุำด ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่มีทางที่จะรู้เท่าทันกิเลสได้ ปัญญา เกิดจากการฟัง การอบรม ทำให้จิต เจตสิก ปรุงแต่ง รู้ความจริงในขณะนั้น ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 31 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 31 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"รู้เท่าทันกิเลสก็ไม่มีใคร ไม่มีตัวตนที่จะไปรู้"

ปัญญาที่เกิดขึ้นเท่านั้นที่จะทำหน้าที่เอง

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

มีแต่สภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไป

"ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 1 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
anucha98
วันที่ 3 มิ.ย. 2555
ขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ