ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ ที่ มูลนิธิฯ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันเสาร์ ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ในชั่วโมง สนทนาพระสูตร ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา มีข้อความธรรมะ จากการสนทนาธรรม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ ผู้ร่วมสนทนา บางตอน ที่ใคร่ขอบันทึกและนำเสนอ เพื่อประโยชน์แก่ทุกๆ ท่านในการพิจารณา ดังนี้
อาจารย์กุลวิไล เพราะฉะนั้น ประโยชน์ ของการมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อความไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้ว่า มาจากไหน? แล้วก็จากนี้ไป จะไปไหนต่อ? แต่ที่สำคัญก็คือ ผู้ที่มีความเห็นถูกในธรรมะ ที่ปรากฏในขณะนี้ ก็เพราะว่า อาศัย "การฟัง" พระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั่นเอง และ ที่เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ก็เพราะว่า ขณะนั้น กุศลจิตเกิด พร้อมปัญญา เป็นผู้ที่ ไม่หลงลืมสติ เพราะว่ามีสภาพธรรมะ ที่ทำให้รู้ได้ ตามความเป็นจริง คุณนิรันดร์ ขอโอกาสร่วมสนทนาในประเด็นนี้ด้วยนะครับ ตอนแรก ที่ท่านอาจารย์ได้ถามว่า ชีวิตเรา ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ แล้วชีวิตในขณะนี้ ควรที่จะ ทำอะไร? ถ้ามถามผม อันดับแรกนี่ ผมทุ่มเททุกอย่าง เพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม ไม่ว่าจะทั้งชีวิต ทั้งทุนทรัพย์ ร่างกายก็ ไม่ว่าจะเหนื่อยยากอะไรขนาดไหน ก็ไม่ย่อท้อ เรียกว่า เป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว ที่จะอุทิศ ให้กับการศึกษาพระธรรม ดังนั้น ที่ท่านอาจารย์ถามว่า ความไม่ประมาท คือ อะไร ผมตอบได้อย่างเดียวว่า มาเพื่อที่จะ "ฟัง" ให้มีความ "เข้าใจพระธรรม" เมื่อมีโอกาส เพราะไม่รู้ว่า โอกาสนั้น จะหมดไปเมื่อไหร่ สำหรับตัวผม โอกาสน้อยมากๆ เพราะว่า ด้วยเหตุปัจจัยอะไรต่างๆ เมื่อมาฟัง ผมจึง "ตั้งใจฟัง" จริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างนั้นแล้ว จากการที่ได้ฟังท่านอาจารย์วิทยากร ท่านอาจารย์ต่างๆ ก็รู้แล้วว่า ผมคิดแค่นั้นยังไม่พอ เพราะผมยังลืมไปอย่างหนึ่งว่า ต้องไม่ประมาท ในการเป็น ผู้ที่จะเจริญกุศล ละอกุศลต่างๆ ด้วย ก็ทำให้ผมรู้สึกว่า ควรที่จะเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง คือว่า นอกจากฟังพระธรรมเข้าใจแล้ว ก็ยังต้องเป็นผู้ที่จะ เจริญกุศลทุกประการ เพราะไม่รู้ว่า จะตายเมื่อไหร่ อันนี้ ต้องขออนุโมทนาท่านอาจารย์ และ อาจารย์วิทยากร ที่ให้ความเข้าใจ แล้วก็เตือนสติ เพราะว่า บางทีเราคิดว่า เราแค่ฟังพระธรรมเท่านั้น แค่ฟังเพื่อความเข้าใจ อันนี้คือความไม่ประมาทแล้ว ต้องขอกราบอนุโมทนาด้วยครับ ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้ไหม ว่าขณะไหนประมาท แล้วก็ขณะไหนไม่ประมาท? ขณะใด ที่เป็นกุศล ไม่ประมาท ถูกต้องไหม? ขณะใดที่เป็นอกุศล ประมาท แต่ไม่รู้ว่าประมาท เพราะเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ธรรมะ เป็นสิ่งที่รู้ยาก โดยหลัก เราก็ทราบความเป็นฐานะ ตามความเป็นจริง ถ้าขณะใดที่กุศลเกิด ขณะนั้นไม่ประมาทแน่นอน จึงเป็นกุศล แต่วันหนึ่ง วันหนึ่ง เป็นกุศลเมื่อไหร่บ้าง นี่ก็เป็นสิ่งที่รู้ยาก แต่ก็ยังดีที่จะไม่เป็นอกุศล ที่ไม่รู้ว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล โดยการที่ มีความเข้าใจจากการฟัง ละเอียดขึ้น อย่างที่คุณนิรันดร์ ตั้งใจฟังธรรมะ แล้วก็มาฟังธรรมะ แล้วก็ได้ฟัง เพื่อที่จะได้พิจารณาให้เข้าใจ เพิ่มขึ้น แต่กำลังเดินมานี่ เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล?คุณนิรันดร์ ก็ ไม่ทราบครับ ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ ก็ทำให้เราเป็นผู้ที่ ยังคงประมาทอยู่ ใช่ไหม? เพราะเหตุว่า ขณะใด ที่ไม่ใช่กุศล ขณะนั้น เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น อย่างคร่าวๆ ก็คือว่า ขณะนี้ เป็นกุศล หรือเปล่า? เวลาที่เรา ช่วยเหลือใคร "ขณะนั้น" ก็เป็นกุศล แน่นอน เวลาที่หวังดีต่อใคร "ขณะนั้น" ก็เป็นกุศล เพราะฉะนั้น "ขณะโกรธ" ประมาทหรือเปล่า? คุณนิรันดร์ ประมาทครับ ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะขณะนั้น เป็นอกุศล แต่ก็เป็นสิ่งซึ่ง บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ คือ เข้าใจตามความเป็นจริงว่า "ลักษณะ" นั้น มีจริง เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่า สังสาร หรือ สังสารวัฏฏ์ หมายความถึง การเกิดดับ สืบต่อ ของธรรมะ โดยไม่มีระหว่างคั่น ขณะนี้ เวลาโกรธเกิดขึ้น ก็เป็น "หนึ่งขณะ" ในสังสารวัฏฏ์ ขาดขณะนั้นไม่ได้เลย ถ้าขาด ก็คือ ไม่ใช่สังสารวัฏฏ์แล้ว ไม่มีการสืบต่อแล้ว เพราะฉะนั้น การสืบต่อ ก็มีทั้งที่เป็นกุศล เป็นอกุศล แล้วก็เป็นวิบาก คือ ผลของกุศลและอกุศล ถ้าศึกษาละเอียด ก็มี กิริยา ด้วย คุณนิรันดร์ ท่านอาจารย์ครับ ขอยกตัวอย่างนิดหนึ่ง อย่างเช่นว่า ถ้าผมโกรธใคร แล้วผมผูกโกรธ แล้วก็พยาบาท แล้วผมก็คิดว่า ถ้าผมตายไปแล้ว ผมจะสะสม สิ่งที่พยาบาท และ ผูกโกรธ แล้วก็ ไม่ให้อภัย อย่างนี้ ผมก็คิดว่า ผมประมาท นะครับ เพราะว่า ฟังธรรมะแล้วรู้ว่า จะตายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วจะผูกโกรธ รู้ว่า เขาทำไม่ดีต่อเราก็จริง แต่เราจะผูกโกรธกับเขาไปทำไม เมื่อเรารู้ว่า สิ่งนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์เลย ท่านอาจารย์ ปัญญา เห็นโทษของอกุศล "เขา" คนนั้น ไม่ได้ตามเราไปชาติหน้า ให้เรา โกรธต่อแน่ๆ แต่ความโกรธ ยังไม่หมดไปจากใจ แล้วก็ยังจะ "สะสม" เพิ่มขึ้น เพราะมีแล้ว เพราะฉะนั้น จะไปเจอใครชาติหน้า ซึ่งไม่ใช่ "เขา" ที่ทำให้เราโกรธ เราก็โกรธคนนั้นต่อไป เพราะว่า เราสะสมความโกรธ ที่จะโกรธ อยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็เป็นโทษอย่างยิ่ง ถ้าขณะนั้น เป็นความไม่โกรธ ขณะนั้นจึงเป็นกุศล ถ้าเข้าใจอย่างนี้ คิดอย่างนี้ "ขณะนั้น" ก็เป็นความไม่โกรธ ข้อความบางตอนจาก...อัจจยสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 524 ขอความโกรธ จงอยู่ในอำนาจของท่านทั้งหลาย ขอความเสื่อมคลายในมิตรธรรม อย่าได้เกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ติเตียนผู้ที่ไม่ควรติเตียน และ อย่าได้พูดคำส่อเสียดเลย ก็ความโกรธเปรียบปานดังภูเขา ย่อมย่ำยีคนลามก. กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านครับ
"...ต้องไม่ประมาทในการเป็น ผู้ที่จะเจริญกุศล ละอกุศลต่างๆ ด้วย..."
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพราะเหตุจึงมีปัจจัย เคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วในกาลก่อน ก็ต้องมา
ได้ยินได้ฟังกันต่อไปอีก ขอกราบบูชาคุณธรรมะที่ท่านอาจารย์สุจิตต์ บริหารวน
เขตต์ได้นำมาแสดงย้ำแล้วย้ำอีกเพื่อให้ศิษย์ทางธัมมะได้เข้าใจ เพราะศิษย์มี
อวิชามากจึงเข้าใจได้ช้า เข้าใจได้ยากและยากที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ก็จะเพียร
ระลึกศึกษาต่อไป จนกว่าจะมีจุติมาถึงวันหนึ่งจุติต้องมาถึงแน่ๆ อยู่มาตั้งแต่เกิด
ก็เข้าไป17885วันเศษแล้วตามอายุขัย คงจะเหลือชีวิตอยู่อีกไม่กี่วัน ท้อถ้อย
ไม่ได้แล้วครับ ดีใจครับที่มีสหายธรรมมาก และได้ศึกษาร่วมกัน แล้วก็
ได้อ่านความคิดธรรมะดีๆ มากมาย ทำให้มีความเพิ่มขึ้น ก็ขออนุโมทนา
ในกุศลเจตนาความเพียรและปัญญาของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ