วันวิสาขบูชา - ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน

 
kanchana.c
วันที่  1 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21208
อ่าน  2,098

เมื่อวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี พระมหาบุรุษผู้ทรงบำเพ็ญ พระบารมียาวนานถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อถึงความสมบูรณ์ในการเกื้อกูลสัตว์โลก ได้ทรงอุบัติขึ้นในโลกเป็นพระโพธิสัตว์ คือ เจ้าชายสิทธัตถะได้ประสูติที่ลุมพินีวัน ที่ตั้งอยู่ ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ อันเป็นราชอุทยานของกษัตริย์ทั้ง ๒ วงศ์ คือ ศากยวงศ์และโกลิยวงศ์

เจ้าชายสิทธัตถะเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งศากยวงศ์ กรุงกบิลพัสดุ์ และ พระนางสิริมหามายาเทวีแห่งโกลิยวงศ์ กรุงเทวทหะ ซึ่งมีพรมแดนติดกัน เมื่อใกล้วันประสูติ พระมารดาเสด็จสู่กรุงเทวทหะเพื่อไปประสูติที่เมืองของตนตามประเพณีนิยม พอเสด็จถึงลุมพินีวัน ซึ่งห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ๒๗ กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทวทหะ ๕๔ กิโลเมตร ก็ประสูติพระโอรส

พระโพธิสัตว์ประสูติด้วยพระวรกายที่สะอาดหมดจด ผุดผ่องดุจแก้วมณี ไม่แปดเปื้อนด้วยสิ่งปฏิกูลต่างๆ ทั้งประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ พอประสูติได้ครู่หนึ่ง ก็ประทับยืนอย่างมั่นคงด้วยพระบาท ๒ ข้าง ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ แล้วเสด็จย่างพระบาทไป ๗ ก้าว ทอดพระเนตรดูทิศต่างๆ แล้วเปล่งอาสภิวาจาอย่างองอาจว่า “เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ เราจักไม่เกิดอีก”

เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติที่ลุมพินีวันแล้ว พระนางสิริมหามายาเทวีก็เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ มาขนานนาม และทำนายลักษณะ ซึ่งมี ๒ คติ คือ ถ้าอยู่ครองราชย์จะทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือถ้าออกผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก พราหมณ์โกณฑัญญะผู้เดียวที่ทำนายอย่างเดียว ว่า จะเสด็จออกผนวชแน่นอน

เมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็สิ้นพระชนม์ ทรงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระนางมหาปชาบดีโคตมีผู้เป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ ซึ่งต่อมาก็มีพระโอรสและพระธิดา คือ นันทกุมาร และรูปนันทา

พระราชบิดาทรงต้องการให้อยู่ครองราชย์ จึงทรงบำรุงให้ได้ความสุขในกามคุณทุกอย่าง เมื่อพระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้ ๗ พรรษา พระราชบิดาโปรดให้ขุดสระบัว ๓ สระ เมื่อพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา โปรดให้สร้างปราสาท ๓ หลัง สำหรับประทับ ๓ ฤดู และโปรดให้อภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา พระโพธิสัตว์มีพระสนม ๔๐,๐๐๐ นาง เสวยสุขสมบัติทั้งกลางวันและกลางคืน

จนพระชนม์ ๒๙ พรรษา ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ อันเทวดาเนรมิตไว้ระหว่างทางที่เสด็จประพาสพระราชอุทยาน ซึ่งพระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน ทรงพอพระราชหฤทัยในการบรรพชาเพราะทรงเห็นสมณะ โดยเสด็จหนีออกในเวลากลางคืน ทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะตามเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงให้นายฉันนะนำม้าพระที่นั่งกลับคืนพระนคร ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต

เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกบรรพชาแล้ว ทรงหาอุบายที่จะตรัสรู้ ด้วยการศึกษาในสำนักของคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในครั้งนั้น และได้ทรงทดลองในลัทธิต่างๆ ทุกอย่าง ทรงพบว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้ หลังจากที่พระองค์ทรงหลีกจากสำนักของอาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตรแล้ว ทรงเสด็จไปประทับที่อุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ เพราะทรงทอดพระเนตรเห็นพื้นที่ราบรื่น แนวป่าเขียวสด เป็นที่เบิกบานใจ แม่น้ำไหล มีน้ำใสสะอาด มีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ มีหมู่บ้านที่จะอาศัยเที่ยวบิณฑบาตได้

เขาดงคสิริมีถ้ำที่เป็นสถานที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกขกิริยาคือทรมานพระกาย ให้ลำบาก ซึ่งเป็นที่นิยมกันในยุคนั้นว่าเป็นกุศลที่วิเศษ อาจจะทำให้ทรงตรัสรู้ได้ พระองค์ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา ทรงผ่อนกลั้นลม อัสสาสะปัสสาสะ ทรงอดพระกระยาหาร จนพระกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีเศร้าหมอง พระอัฐิปรากฏทั่วพระกาย เมื่อทรงลูบพระกาย เส้นพระโลมามีรากอันเน่าหลุดร่วง จากขุมพระโลมา พระกำลังน้อยถอยลง จะเสด็จไปทางไหนก็ชวนล้ม ทรงบำเพ็ญ ทุกขกิริยานับแต่ทรงผนวชได้ ๖ ปี ทรงพระดำริว่า ไม่มีใครจะทำทุกขกิริยายิ่งกว่า พระองค์ได้อีก คงจะไม่ตรัสรู้ด้วยวิธีนี้ ทรงละความเพียรในการทรมานพระกายให้ ลำบาก ทรงทำความเพียรทางจิตต่อไป ซึ่งจะต้องเสวยอาหารให้มีกำลัง ตั้งแต่นั้น ก็เสวยอาหาร ไม่ทรงอดอีกต่อไป

การบำเพ็ญทุกกรกิริยาของพระองค์แม้ไม่ได้ผล แต่ก็มีประโยชน์ในการทรงเทศนา สั่งสอนคนในยุคนั้น ที่คิดว่าการทรมานตนจะทำให้หมดกิเลส พระองค์ทรงแสดงในมหาสีหนาทสูตร ซึ่งเป็นการบันลือสีหนาทที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการเปล่งวาจาอย่างอาจหาญ เล่าความที่ทรงเคยทดลองปฏิบัติมาแล้วทุกอย่าง ตามที่เข้าใจกันว่าจะตรัสรู้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ การค้านข้อปฏิบัติของสมณพราหมณ์ครั้งนั้น จึงเป็นการค้านอย่างมีเหตุผลยิ่ง

นางสุชาดา เป็นธิดาของนายบ้านเสนานิคม ตำบลอุรุเวลา แคว้นมคธ ในเช้าวันเพ็ญ เดือน ๖ เมื่อ ๔๕ ปีก่อนพุทธศักราช ได้ทำการบวงสรวงเทวดา ด้วยการหุงข้าวปายาส คือ ข้าวสุกหุงด้วยน้ำนมโคล้วน จัดลงในถาดทองคำ นำไปที่ต้นโพธิ์ใกล้บ้านของนาง ในขณะนั้นหลังจากพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา (การบำเพ็ญเพียรกล้าที่ยากจะมีใครทำตามได้) ที่เขาดงคสิริ ซึ่งอยู่ห่างจากพระศรีมหาโพธิ์ไปประมาณ ๑๖ กิโลเมตร อยู่เป็นเวลา ๖ ปีแล้ว ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์ได้ จึงทรงละวิธีบำเพ็ญนั้น หันมาเสวยพระกระยาหารตามปกติ เช้าวันนั้น พระองค์เสด็จไปประทับนั่ง อยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้น นางเข้าใจว่าเป็นเทวดา จึงน้อมข้าวปายาสเข้าไปถวาย ในเวลานั้น บาตรของพระองค์หายไป จึงทรงรับข้าวปายาสนั้นทั้งถาดด้วยพระหัตถ์ แล้วทอดพระเนตรดูนาง นางทราบพระอาการจึงทูลถวายทั้งถาดแล้วกลับไป พระโพธิสัตว์ทรงถือถาดข้าวปายาสเสด็จไปสู่ท่าแห่งแม่น้ำเนรัญชรา (ท่าสุปติฏฐะ) สรงแล้วเสวยข้าว ปายาสหมดแล้ว ทรงลอยถาดทองไป ถาดนั้นลอยทวนกระแสแม่น้ำ จึงตกลงพระทัยว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้

ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า

ครั้งนั้นแม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงถือถาดทอง เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงวางถาดทองไว้ที่ริมฝั่งใกล้ท่าน้ำชื่อสุปติฏฐะ สรงสนานแล้ว เสด็จขึ้น ทรงทำข้าวปายาสเป็นก้อนได้ ๔๙ ก้อน เสวยข้าวปายาสนั้น แล้วทรงลอยถาดทองนั้นลงไป พร้อมทรงอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ขอถาดทองนี้ จงลอยทวนน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ เข้าไปยังภพของพระยานาคชื่อว่า กาฬนาคราช ยกถาดของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ขึ้นแล้วตั้งอยู่ข้างใต้ถาดเหล่านั้น

เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงเสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายแล้ว ในเวลาเย็น เสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชราไปยังแดนมหาโพธิ์ ทรงรับหญ้ากุสะ ๘ กำมือ จากโสตถิยพราหมณ์ แล้วเสด็จตรงไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ ทรงปูลาดหญ้ากุสะ ๘ กำมือนั้นลง พลางออกพระโอษฐ์ตั้งพระสัตยาธิษฐานว่า “ถ้าอาตมะจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ขอจงบังเกิดเป็นรัตนบัลลังก์ขึ้น ณ บัดนี้”

ทันใดนั้น รัตนบัลลังก์ก็ได้อุบัติขึ้นด้วยบุญญาธิการของพระองค์ พระองค์จึงเสด็จขึ้น ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์นั้น โดยผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกทางแม่น้ำเนรัญชรา พร้อมกับอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า

“ถึงเลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไป จะยังคงเหลืออยู่แต่เพียงหนัง เส้นเอ็นและกระดูก ก็ตามที หากข้าพเจ้ายังมิได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจะมิยอม ลุกขึ้นจากรัตนบัลลังก์นี้”

พระโพธิสัตว์ทรงประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต ทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้วทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมและปฏิโลม. ในเวลาอรุณขึ้น ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า "เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ ซี่โครงทุกซี่ของท่าน เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เพราะเราบรรลุธรรม ที่สิ้นตัณหาแล้ว"

ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในเวลารุ่งอรุณพอดี ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี บัดนี้เวลาผ่านไปนานถึง ๒,๖๐๐ ปีที่โลกนี้สว่างไสว ด้วยพุทธานุภาพหลังจากมืดมิดด้วยความไม่รู้มายาวนาน

ครั้นได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์นั้น เสวยวิมุตติสุขสิ้นกาล ๗ วันแล้วพระองค์เสด็จลุกจากรัตนบัลลังก์มุ่งพระพักตร์ตรงไปทางทิศอีสาน ทันใดนั้นพระรัตนบัลลังก์ก็อันตรธานหายไป และได้เสด็จไปแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปวัตตนสูตร” แก่พระปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในวันเพ็ญ เดือน ๘ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี จนท่านพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” แล้วขอบรรพชา ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา จึงเป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกในโลก และในวันนั้นก็เป็นวันที่มีรัตนะครบทั้งสาม คือ ทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

เริ่มตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพาน ทรงกระทำพุทธกิจเกื้อกูลสัตว์โลกด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ ด้วยพระมหากรุณาคุณอย่างสูงสุด แต่ละวันพระองค์จะทรงพักผ่อนเพียง ๒ ชั่วโมง เวลาส่วนใหญ่ของพระองค์จะทรงแสดงธรรมให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ให้ได้เข้าใจพระธรรมที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ ทรงโอวาทเนืองๆ ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงยังตนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นของยากในโลก การกลับได้เป็นมนุษย์ก็เป็นของยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นของยาก การได้บรรพชาก็เป็นของยาก การฟังพระธรรมก็เป็นของยาก ดังนี้”

หลังจากพระผู้มีพระภาคทรงกระทำพุทธกิจยาวนานถึง ๔๕ พรรษา ก็ทรงปลงพระชนมายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์ กรุงเวสาลีแล้ว

เมื่อเสด็จถึงกรุงปาวา แคว้นมัลละ ได้ประทับอยู่ ณ อัมพวัน สวนมะม่วงของนายจุนทะ กัมมารบุตร ทรงรับนิมนต์เสวยพระกระยาหารเช้า ชื่อ สุกรมัททวะที่เรือนของนายจุนทะ แล้วรับสั่งให้ฝังส่วนที่เหลือ ให้หมู่ภิกษุฉันภัตตาหารชนิดอื่น หลังจากเสวยแล้ว เกิดอาพาธอย่างแรงด้วยโรคโลหิตปักขันทิกาพาธ มีเวทนากล้าจวนจะปรินิพพาน แต่ทรงมีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นเวทนาไว้ได้

พระผู้มีพระภาคเสด็จผ่านแม่น้ำกกุธานที ให้พระจุนทกะปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นแล้ว เสด็จสีหไสยาสน์โดยตั้งพระทัยว่าจะลุกขึ้น รับสั่งกับท่านพระอานนท์เรื่องอาหาร ที่นางสุชาดาถวายก่อนตรัสรู้และนายจุนทะถวายก่อนปรินิพพานว่า มีอานิสงส์เสมอกัน แล้วเสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญวดีไปสู่สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา สำเร็จอนุฏฐานไสยา คือ นอนโดยจะไม่ลุกขึ้นอีก ระหว่างไม้สาละคู่ โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ตรัสปัจฉิมวาจาว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”

บัดนี้ไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว มีแต่พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงมอบให้เป็นมรดก ก็มีความอุ่นใจขึ้น ว่า จะสามารถเห็นแสงสว่างในความมืดมิดนี้ได้ เพราะพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนพระจันทร์เพ็ญ พระธรรมเปรียบเหมือนกลุ่มรัศมีของพระจันทร์ พระสงฆ์เปรียบเหมือนโลกที่เอิบอิ่มด้วยรัศมีของพระจันทร์เพ็ญที่ทำให้เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนๆ พระธรรมดังกล่าวเปรียบเหมือนข่ายรัศมีของดวงอาทิตย์ นั้น พระสงฆ์เปรียบเหมือนโลกที่ดวงอาทิตย์นั้นกำจัดมืดแล้ว และเกิดความมั่นใจว่า ไม่ใช่คนยากไร้ขัดสน เพราะพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนบิดามอบมรดกโดยธรรม พระธรรมเปรียบเหมือนมรดก พระสงฆ์ผู้สืบมรดกคือพระสัทธรรม เปรียบเหมือนพวกบุตร ผู้สืบมรดก

ในวาระครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราจึงสมควรบูชาพระองค์ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาซึ่งเป็นการบูชาอย่างสูงสุด ด้วยการศึกษาพระธรรมที่ทรงมอบให้เป็นมรดก จนทำให้มรดกที่ได้รับมอบนั้นเกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยการฟังด้วยดีจนเกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ความเข้าใจนั้นเอง คือปัญญาที่ทำกิจระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง จนประจักษ์แจ้งว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาเกิดซ้ำอีกเลย ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว พระธรรมก็จะอันตรธานจากใจของผู้นั้นก่อนเวลา ๕,๐๐๐ ปีที่พระสัทธรรมจะอันตรธาน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะทรงเตือนไว้แล้วว่า การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นของยากในโลก การกลับได้เป็นมนุษย์ก็เป็นของยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นของยาก การได้ฟังพระธรรมก็เป็นของยาก เมื่อกุศลที่เคยทำไว้ในอดีตทำให้ประจวบกับสิ่งที่เกิดได้ยากเหล่านี้แล้ว ถ้ายังปล่อยให้ขณะผ่านไปอีก ก็เป็นสิ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 1 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

"...การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นของยากในโลก การกลับได้เป็นมนุษย์ก็เป็นของยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นของยาก การได้ฟังพระธรรมก็เป็นของยาก

เมื่อกุศลที่เคยทำไว้ในอดีตทำให้ประจวบกับสิ่งที่เกิดได้ยากเหล่านี้แล้ว ถ้ายังปล่อยให้ขณะผ่านไปอีก ก็เป็นสิ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง..."


กราบอนุโมทนาในกุศลจิต และ กุศลวิริยะ ของพี่แดงด้วยครับ

เป็นบทความที่ไพเราะยิ่ง อ่านแล้วเกิดความซาบซึ้ง ในพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ และ พระบริสุทธิคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
aurasa
วันที่ 2 มิ.ย. 2555
ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wittawat
วันที่ 2 มิ.ย. 2555

ขอกราบอนุโมทนากุศลวิริยะของ ป้าแดงด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 2 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงและทุกท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 2 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 2 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว พระธรรมก็จะอันตรธานจากใจของผู้นั้น"

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. กาญจนา และทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 8 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Boonyavee
วันที่ 19 พ.ค. 2556

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และขอกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่แดงด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
thassanee
วันที่ 21 พ.ค. 2556

ขอกราบเท้าบูชาคุณอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
อ๊อด
วันที่ 21 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 22 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
napachant
วันที่ 22 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
anong55
วันที่ 23 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ผู้มีความประมาท
วันที่ 24 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
boonpoj
วันที่ 24 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
rrebs10576
วันที่ 24 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
aurasa
วันที่ 19 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
Nataya
วันที่ 9 พ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ