เรื่องพระเมฆิยเถระ
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 389
๓. จิตตวรรควรรณนา
๑. เรื่องพระเมฆิยเถระ [๒๔]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่ภูเขาชื่อจาลิกา ทรงปรารภท่านพระเมฆิยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ผนฺทน จปล จิตฺต" เป็นต้น.
พระเมฆิยะถูกวิตกครอบงำ
เมฆิยสูตร๑ทั้งหมด บัณฑิตพึง (แสดง) ให้พิสดาร เพื่อให้เรื่องแห่งพระเมฆิยเถระนั้นแจ่มแจ้ง. ก็พระศาสดาตรัสเรียกพระเมฆิยเถระผู้ไม่สามารถเพื่อประกอบความเพียรในอัมพวันนั้นได้ เพราะความที่ท่านถูกวิตก ๓ อย่างครอบงำมาแล้ว ตรัสว่า "เมฆิยะ เธอละทิ้งเราผู้อ้อนวอนอยู่ว่า ' เมฆิยะ เราเป็นผู้ๆ เดียว, เธอจงรอคอย จนกว่าภิกษุบางรูปแม้อื่นจะปรากฏ ' ดังนี้ (ไว้ให้อยู่แต่) ผู้เดียว ไปอยู่ (ชื่อว่า) ทำกรรมอันหนักยิ่ง. ขึ้นชื่อว่าภิกษุ ไม่ควรเป็นธรรมชาติ (แล่นไป) เร็ว, การยังจิตนั้นให้เป็นไปในอำนาจของตน ย่อมควร " ดังนี้แล้วจึงได้ทรงภาษิตพระคาถา ๒ พระคาถาเหล่านี้ว่า
ผนฺทน จปล จิตฺต ทุรกฺข ทุนฺนิวารย อุชุ กโรติ เมธาวี อุสุกาโรว เตชน วาริโชว ถเล ขิตฺโต โอกโมกตอุพฺภโต ปริผนฺทติท จิตฺต มารเธยฺย ปหาตเว ฯ
" ชนผู้มีปัญญาย่อมทำจิตที่ดิ้นรน กลับกลอก อันบุคคลรักษาได้ยาก ห้ามได้ยาก ให้ตรง ดุจช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้น
จิตนี้ (อันพระโยคาจรยกขึ้นจากอาลัย คือ กามคุณ ๕ แล้ว ซัดไปในวิปัสสนากัมมัฏฐาน) เพื่อละบ่วงมาร ย่อมดิ้นรน ดุจปลาอันพรานเบ็ด ยกขึ้นจาก (ที่อยู่) คือน้ำ แล้วโยนไปบนบก ดิ้นรนอยู่ ฉะนั้น"
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผนฺทน คือดิ้นรนอยู่ในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น.
บทว่า จปล ความว่า ไม่ดำรงอยู่ในอารมณ์เดียวได้ เหมือนทารกในบ้านผู้ไม่นิ่งอยู่ด้วยอิริยาบถหนึ่งฉะ.นั้น จึงชื่อว่า กลับกลอก.
บทว่า จิตฺต ได้แก่ วิญญาณ. ก็วิญญาณนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า "จิต" เพราะ เป็นธรรมชาติวิจิตรด้วยภูมิ วัตถุ อารมณ์ และวิถีจิต มีกิริยาจิต เป็นต้น.
บทว่า ทุรกฺข ความว่า ชื่อว่า อันบุคคลรักษาได้ยาก เพราะตั้งไว้ได้ยาก ในอารมณ์อันเป็นที่สบายอารมณ์หนึ่งนั่นแล เหมือนโคที่คอยเคี้ยวกินข้าวกล้าในนา อันคับคั่งไปด้วยข้าวกล้าฉะนั้น.
บทว่า ทุนฺนิวารย ความว่า ชื่อว่า อันบุคคลห้ามได้ยาก เพราะเป็นธรรมชาติที่รักษาได้ยาก เพื่อจะห้าม (กัน) จิตอันไปอยู่สู่วิสภาคารมณ์.
สองบทว่า อุสุกาโรว เตชน ความว่า นายช่างศร นำเอาท่อนไม้ท่อนหนึ่งมาจากป่าแล้ว ทำไม่ให้มีเปลือก (ปอกเปลือกออก) แล้วทาด้วยน้ำข้าวและน้ำมัน ลนที่กระเบื้องถ่านเพลิง ดัดที่ง่ามไม้ทำให้หายคดคือให้ตรง ให้เป็นของควรที่จะยิงขนทรายได้. ก็แลครั้นทำแล้ว จึงแสดงศิลปะแด่พระราชาและราชมหาอำมาตย์ ย่อมได้สักการะและความนับถือเป็นอันมากชื่อ ฉันใด, บุรุษผู้มีปัญญา คือผู้ฉลาด ได้แก่ผู้รู้แจ้ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน (คือ) ทำจิตนี้ อันมีสภาพดิ้นรนเป็นต้น ให้หมดเปลือก คือให้ปราศจากกิเลสที่หยาบด้วยอำนาจธุดงค์ และการอยู่ในป่า แล้วชโลมด้วยยางคือศรัทธา ลนด้วยความเพียรอันเป็นไปทางกายและเป็นไปทางจิต ดัดที่ง่ามคือสมถะและวิปัสสนา ทำให้ตรงคือมิให้คดได้แก่ให้สิ้นพยศ, ก็แลครั้นทำแล้ว พิจารณาสังขารทั้งหลาย ทำลายกองอวิชชาใหญ่ได้แล้ว ทำคุณวิเศษนี้ คือ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ โลกุตรธรรม ๙ ให้อยู่ในเงื้อมมือทีเดียว ย่อมได้ความเป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ.
บทว่า วาริโชว แปลว่า ดุจปลา.
สองบทว่า ถเล ขิตฺโต ได้แก่ อันพรานเบ็ดซัดไปบนบก ด้วยมือ เท้า หรือด้วยเครื่องดักมีตาข่ายเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง.
พึงทราบวินิจฉัยในบาทพระคาถาว่า โอกโมกตอุพฺภโต (ดังต่อไปนี้) :-
น้ำ ชื่อว่า โอกะ (ได้) ในคำนี้ว่า "ภิกษุชาวเมืองปาฐา มีจีวรชุ่มด้วยน้ำ ได้มาสู่เมืองสาวัตถี เพื่อประสงค์จะเฝ้าพระศาสดา๑. "อาลัย ชื่อว่า โอกะ (ได้) ในคำนี้ว่า "มุนีละอาลัยแล้ว ไม่ติดที่อยู่.๒" แม้คำทั้งสองก็ย่อมได้ในบาทพระคาถานี้.
ในบทว่า โอกโมกโตนี้ มีเนื้อความ (อย่าง) นี้ว่า " จากที่อยู่คือน้ำ คือจากอาลัยกล่าวคือน้ำ,"
บทว่า อุพฺภโต แปลว่า อันพรานเบ็ดยกขึ้นแล้ว.
บาทพระคาถาว่า ปริผนฺทติท จิตฺต
ความว่า จิตนี้ คือที่ยินดีแล้วในอาลัยคือกามคุณ ๕ อันพระโยคาวจรยกขึ้นแล้วจากอาลัย คือกามคุณ ๕ นั้น ซัดไปในวิปัสสนากัมมัฏฐาน เผาด้วยความเพียรอันเป็นไปทางกายและเป็นไปทางจิต เพื่อละวัฏฏะ กล่าวคือ บ่วงมาร ย่อมดิ้นรน คือย่อมไม่อาจตั้งอยู่ในวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้นได้, เหมือนอย่างปลานั้นอันพรานเบ็ดยกขึ้นจากอาลัยคือน้ำ แล้วโยนไปบนบก เมื่อไม่ได้น้ำ ย่อมดิ้นในฉะนั้น. แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ บุคคลผู้มีปัญญา ไม่ทอดธุระ ย่อมทำจิตนั้นให้ตรง คือให้ควรแก่การงาน โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
อีกนัยหนึ่ง จิตนี้ คือที่ละบ่วงมารคือกิเลสวัฏฏ์ไม่ได้ ตั้งอยู่ย่อมดิ้นรนดุจปลานั้นฉะนั้น, เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรควรละบ่วงมารเสีย คือควรละบ่วงมาร กล่าวคือ กิเลสวัฏฏ์อันเป็นเหตุดิ้นรนแห่งจิตนั้น ดังนี้แล.
ในกาลจบคาถา พระเมฆิยเถระ ได้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล.
ชนแม้พวกอื่นเป็นอันมาก ก็ได้เป็นอริยบุคคล มีพระโสดาบันเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระเมฆิยเถระ จบ.