ความอิสระของชีวิต

 
เข้าใจ
วันที่  13 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21256
อ่าน  2,859

ชีวิตที่ผ่านไปๆ แต่ละขณะ ตั้งแต่รู้ความมาจนบัดนี้ ยังไม่เคยได้รับอิสรภาพจาก อารมณ์เลย ต้องมัวคอยสาละวนตอบสนองบำเรอความต้องการของความรู้สึกนึกคิดอย่างติดข้อง เป็นไปแต่ละขณะๆ อย่างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด เปรียบเสมือนตกเป็นทาสของความหลง ต้องคอยสนองตอบอยู่เสมอๆ จนมีความรู้สึกว่าชีวิตไม่อิสระเวลารับกระทบอารมณ์ แล้วก็ติดแน่น ยึดถือ ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า สิ่งที่รับกระทบนั้นเป็นเพียงธรรมแต่ละชนิดๆ เป็นขณะสั้นๆ เล็กๆ น้อยๆ นี้เป็นธรรมทั้งนั้น จนได้กลับมาสนใจฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้เคยละทิ้งการฟังพระธรรมไปนานและเมื่อได้เข้าเว็บมา ได้พบกัลยาณมิตรสหายธรรมและรู้เห็นอาจารย์อีกหลายๆ ท่าน ที่คอยเกื้อกูลประคอง เปรียบเสมือนผู้ใหญ่ที่แข็งแรงดีแล้ว คอยประคับประคองจับมือเด็กเล็กๆ ที่ย้งอ่อน ค่อยๆ หัดเดิน ให้เดินให้ตรงและถูกทาง

ก็ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และอาจารย์ ดวงเดือน บารมีธรรมและอาจารย์ทุกๆ ท่านครับ

ด้วยความเคารพ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 14 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปกติในชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น อกุศลจิตย่อมเกิดมากกว่ากุศลจิต จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ส่วนมากมักจะไม่รู้ว่ามีอกุศลจิตเกิดมากกว่า, อกุศล เกิดขึ้น ตามการสะสมของจิตในอดีตที่ได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน โดยเฉพาะโลภะ ซึ่งเป็นความติดข้อง ยินพอใจในวัตถุต่างๆ ติดข้อง ยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และ สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งเป็นวัตถุกามในชีวิตประจำวัน โลภะย่อมสะสมมากขึ้นทุกครั้งที่โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) เกิด เมื่อมีเหตุมีปัจจัย โลภะก็เกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่ ทำให้ยังไม่อิสระจากโลภะ ยังเป็นทาสของของโลภะ เมื่อสะสมมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน

เพราะเคยได้เห็นประโยชน์ของพระธรรม เคยได้ฟังพระธรรมมาแล้ว จึงเป็นเหตุให้สนใจที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไป มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ซึ่งทรงเป็นที่พึ่งให้เกิดเป็นปัญญาของตนเองจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง พระองค์ทรงเป็นบุคคลผู้ให้ในสิ่งที่ประเสริฐที่ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะให้ได้ นั่นก็คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริง

บุคคลผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถึงแม้ว่าตนเองจะยังมีโลภะอยู่ก็ตาม เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ย่อมจะมีความรู้ความเข้าใจถึงโทษภัยของโลภะ สามารถค่อยๆ อบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ สามารถรู้ลักษณะของโลภะว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และปัญญานี้เองเป็นธรรมที่จะดับโลภะได้อย่างหมดสิ้น ทำให้เป็นผู้หมดโลภะได้ในที่สุด “ที่ใดมีปัญญา ที่นั่นจะไม่มีโลภะ” การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ อดทนที่จะฟัง ที่จะศึกษาต่อไปด้วยความไม่ท้อถอย ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม นั่นเอง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 14 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออธิบาย ในประเด็น คำว่า อิสระ ๒ นัย ครับ

ซึ่ง ถ้าเข้าใจ คำว่า อิสระจริงๆ ก็จะเข้าใจหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้องว่าเป็นอย่างไร ครับ

อิสระ นัยแรก คือ ความเป็นอิสระจากกิเลส

ผู้ที่ยังมีกิเลส ชื่อว่า ผู้ที่ไม่เป็นอิสระ เพราะถูกเครื่องผูก คือ กิเลสร้อยรัดไว้ ไม่ให้อิสระ ด้วยโลภะ ชักจูงไป และกิเลสประการต่างๆ ชักจูงไป ให้เป็นไปตามอำนาจ ดังนั้น สำหรับปุถุชนจึงเป็นธรรมดาที่จะต้องไม่อิสระ ที่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส ชีวิต แม้จะไม่ได้ถูกขังอยู่ในคุก แต่ ก็ถูกขังด้วยกำลังของกิเลส และถูกขังด้วยกรง คุก คือ สังสารวัฏฏ์ ไม่ให้พ้นไป ไม่เป็นอิสระจากกิเลสและสังสารวัฏฏ์เลย ครับ นี่คือ ความเป็นธรรมดา เป็นปกติของผู้ที่มีกิเลส ที่ยังไม่อิสระ ส่วนผู้ที่เป็นอิสระแล้ว แม้ว่า จะอยู่ในสถานที่ที่กล่าวกันว่าไม่อิสระ มี ในคุก เป็นต้น แต่ ใจที่ปราศจากกิเลส ชื่อว่า อิสระล้ว เพราะ ไม่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส แต่ อิสระด้วยปัญญาที่เกิดรู้ความจริง จนดับกิเลสหมดสิ้น พระอรหันต์ จึงชื่อว่า อิสระจากกิเลสอย่างแท้จริง ครับ

อิสระ นัยที่สอง คือ ธรรมไม่เป็นอิสระ เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย

สภาพธรรมที่เกิดขึ้น กับตนเองในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเห็น การได้ยิน กิเลสยังไม่เกิดขึ้นเลย แต่ขณะนั้น ก็ไม่อิสระแล้ว คือ เพราะธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัย จิต เจตสิกและรูปอื่นๆ ประชุมรวมกัน จึงเกิดธรรมได้ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหลาย จึงไม่เป็นอิสระเลย เพราะ จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ อาศัยตัวมันเอง ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จึงไม่เป็นอิสระ ดังนั้น ทุกชีวิตในขณะนี้ ไม่เป็นอิสระ ทั้งไม่เป็นอิสระจากกิเลส และ ไม่เป็นอิสระจากคุก คือ สังสารวัฏฏ์ และที่สำคัญที่สุด แม้จะไม่มีกิเลสเกิดขึ้น แต่เมื่อใด ธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่อิสระ ตัวธรรมเอง แสดงถึงความไม่อิสระ คือ ต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นๆ และเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น จึงกลับมาที่หนทางการอบรมปัญญาครับ ว่าไม่ใช่จะทำให้ไม่อิสระ เป็นไปไม่ได้ แต่ ควรเข้าใจ สภาพธรรมที่ไม่ทำให้อิสระ คือ กิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจว่า กิเลสนั้น คือ อะไร ด้วยการเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ แม้แต่กิเลสที่เกิดขึ้น มีโลภะ เป็นต้น ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ปัญญานั้นเองที่เกิดขึ้น จะค่อยๆ ทำให้เป็นอิสระจากกิเลส เพราะ ค่อยๆ ละความไม่รู้ ที่ทำให้ไม่อิสระ ครับ

ดังนั้น การจะเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นเรื่องยาก ต้องอบรมปัญญาอย่างยาวนาน และก็นับว่าเป็นบุญ ที่ได้กลับมามีโอกาสฟังพระธรรมอีกครั้ง การที่ไม่ปล่อยมือจากพรธรรม ก็จะทำให้ไม่ตกลงไปในเหวที่ลึกสุดประมาณ คือ อวิชชา และ ย่อมทำให้เป็นอิสระจากกิเลสได้ในอนาคต

ก็ขออนุโมทนา คุณ เข้าใจ มา ณ โอกาสนี้ ในกุศลจิตที่เกิดขึ้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 14 มิ.ย. 2555

อิสระจริงๆ คือพระนิพพาน เพราะพ้นจากการเกิด

พระอรหันต์ท่านเป็นอิสระจากกิเลสก็จริง แต่ยังไม่อิสระจากวิบากกรรมที่จะได้รับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 15 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 15 มิ.ย. 2555

ต้องดับกิเลสทั้งหมดก่อน จึงจะอิสระจากกิเลส ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 16 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี"

"สภาพธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุ เพราะปัจจัย"

"ตราบใดที่ยังมีอวิชชา ก็ไม่สามารถเป็นอิสระได้"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ