เครื่องกางกั้นกุศลจิต

 
พิมพิชญา
วันที่  20 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21280
อ่าน  1,357
  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 20 มิ.ย. 2555

ผู้ศึกษาพระธรรมเข้าใจอย่างถูกต้อง เห็นโทษของอกุศลธรรม และเห็นโทษของกามทั้งหลาย เจริญสมถภาวนาในชีวิตประจำวัน มีการระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ย่อมข่ม ระงับนิวรณ์ได้ชั่วขณะเท่านั้น คือ เฉพาะขณะจิตที่เป็นกุศลเท่านั้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
edu
วันที่ 20 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับผม ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 20 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นิวรณ์เป็นสภาพธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้นจิต คือ ปิดกั้นไม่ให้เป็นกุศลจิตใน ขณะนั้น เพราะขณะนั้นเป็นอกุศลจิตนั่นเอง ครับ เพราะฉะนั้น นิวรณ์ มีความยินดี พอใจในรูป ความโกรธ ความง่วง ความฟุ้งซ่าน ก็เป็นอกุศลที่มีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราก็จะต้องเข้าใจว่า ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นไม่มีนิวรณ์ใน ขณะนั้น เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูก คือ ไม่ใช่การอยากไม่มีอกุศล อกุศลเกิดแล้วเป็นธรรมดา แต่ ควรเป็นผู้มีปัญญาที่เห็นโทษของกิเลส จึงอบรมเหตุที่ถูกต้อง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อันเป็นเหตุให้ละกิเลส แต่ ไม่ใช่การอยากให้อกุศลไม่เกิด หรือ อยากได้ความสงบ ครับ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม นำมาซึ่งความ เข้าใจถูก คือ ปัญญาที่เกิดชึ้น เมื่อปัญญาเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ย่อมคิดถูก การคิดถูก ย่อมเป็นกุศลจิต เพราะ อาศัยปัญญาเจริญขึ้น กุศลประการต่างๆ ก็เจริญขึ้น ดังนั้น ขณะที่ปัญญาเกิดจากการฟังพระธรรม ขณะที่เข้าใจธรรม จะมาก หรือ น้อย ขณะนั้น เป็นสมถะในชีวิตประจำวันแล้ว คือ สงบจากกิเลสแล้ว เพราะเป็นกุศล โดยไม่ต้องมีตัวตนที่จะพยายามทำสมถะเลย ขณะนั้นก็ไม่มีนิวรณ์ด้วย สงบจากนิวรณ์ชั่วขณะ ในขณะที่เข้าใจพระธรรม ครับ

ปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้น ก็ย่อมทำให้น้อมระลึกถึง พระคุณของพระรัตนตรัย มีพระคุณของพระพุทธเจ้า เป็นต้น หากไม่มีการเข้าใจธรรม ไม่มีการฟังพระธรรมที่ถูกต้อง จะระลึกเข้าใจพระคุณของพระรัตนตรัยตามความเป็นจริงที่เป็นสมถะในชีวิตประจำวัน หรือ ความสงบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างไร ครับ เพราะฉะนั้น แทนที่จะมีตัวตนไปพยายามจะทำความสงบ ทำสมถะในชีวิตประจำวัน ก็อบรมฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้น ก็จะทำให้สงบขึ้นในชีวิตประจำวันมากขึ้น เพราะ กุศลเกิดมากขึ้น จากปัญญาที่เจริญขึ้นนั่นเองครับ เครื่องกางกั้นกุศลจิตที่ร้ายกาจ สำคัญที่สุด คือ อวิชชา ความไม่รู้ ที่จะหมดไปด้วยปัญญาที่เจริญขึ้นจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พิมพิชญา
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

กราบขอบพระคุณมากค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ทีได้ศึกษาพระธรรม ก็จะเข้าใจว่า สภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับกุศล คือ อกุศล สภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอกุศล คือ กุศล สภาพธรรมที่เป็นเครื่องกางกั้นไม่ให้จิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นเป็นไป ก็คือ อกุศลธรรมทั้งปวง หรือ จะกล่าวว่า อกุสลทั้งหมดเป็นนิวรณธรรม ก็ได้ เพราะขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไปนั้น กุศลย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้ากุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปในขณะใด ขณะนั้นก็เป็นการระงับนิรวรณธรรมได้ชั่วขณะ

ดังนั้น หนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของอกุศลธรรม ที่จะเป็นเครื่องขัดเกลา ละคลายกิเลสอกุศลไปตามลดับ ก็คือ การอบรม อบรมเจริญปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ กุศลประการต่างๆ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามระดับขั้นของปัญญาด้วย จนกว่าจะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ซึ่งเมื่อดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นแล้วก็จะไม่มีกิเลสอกุศลธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิตอีกต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผิน
วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เข้าใจ
วันที่ 12 ก.ค. 2555

รับประทานอาหารอิ่มมาใหม่ แล้วมาฟังธรรมเกิดง่วงขึ้น เลยหันมาอ่านสนทนาธรรม ง่วงก็ตามมาอีกครับ เลยทำให้นึกถึง คุณลุงนิภัทรได้ครับคุณลุงได้พูดเอาไว้ตอนหนึ่งว่า ตอนนี้ธรรมะเกิดกับผมมาก เกิดมากจริงๆ ง่วงเกิด ง่วงเกิดมาก ง่วงก็เป็นธรรมะครับ ทำให้เข้าใจถึงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นครับ ขอขอบพระคุณลุงนิภัทรอย่างสูงยิ่งครับและขอขอบคุณ อ.ผเดิม, อ.คำปั่นและเจ้าของกระทู้สหายธรรมทุกๆ ท่านครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ