ตอนเป็นพระ ลงเกมให้โยมปาราชิกหรือไม่

 
ha0000ha
วันที่  25 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21300
อ่าน  1,759

๑. อยากทราบว่า ตอนเป็นพระ โยมให้ไปลงเกมให้ โดยที่รู้ว่าเป็นแผ่นปลอม แต่ไม่รู้ว่าเป็นการขโมย จะปาราชิกหรือไม่ ไม่ได้มีจิตอยากขโมย แค่อยากช่วยลงให้

๒. ตอนเป็นพระ ได้ดูหนังออนไลน์ ปาราชิกหรือไม่ (คิดแค่อยากดู ไม่ได้คิดว่าเป็นหนังเถื่อน) แต่ดูไม่จบ

ป.ล. ตอนนี้สึกแล้วครับ

ขอบคุณครับ

(กังวลมากเลย เพราะตอนเป็นพระ รู้เท่าไม่ถึงการณ์)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. อยากทราบว่า ตอนเป็นพระโยมให้ไปลงเกมให้ โดยที่รู้ว่าเป็นแผ่นปลอม แต่ไม่รู้ว่าเป็นการขโมย จะปราชิกหรือไม่ ไม่ได้มีจิตอยากขโมย แค่อยากช่วยลงให้


- บาป ไม่ บาป สำคัญที่เจตนา แม้อาบัติปาราชิก มีการลักขโมย เป็นต้น ก็สำคัญที่ว่า มีเจตนาลักขโมย เป็นทุจริต หรือไม่ ครับ รวมทั้ง มูลค่าของของที่ขโมยนั้น ก็ต้องเกิน ๕ มาสก เพราะฉะนั้น ในประเด็นนี้ หากไม่รู้ว่าเป็นแผ่นปลอม และก็ไม่ได้มีเจตนาขโมย แต่เจตนาเอาเกมไปลง ก็ไม่เป็นอาบัติปาราชิก เพราะ ไม่มีเจตนาทุจริตที่รู้อยู่ว่า เป็นแผ่นปลอม และ มีเจตนาลงแผ่นเท่านั้น

แต่ หากรู้อยู่ว่าเป็นแผ่นปลอม มีเจตนาที่จะลัก ทุจริต ไปเผยแพร่ ดัดแปลง ทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์เสียหาย ก็อาจเป็นปาราชิกได้ ก็ต้องดูมูลค่าของว่า มากกว่า ๕ มาสก หรือไม่ ถ้ามากกว่า ก็ต้องอาบัติปาราชิก ครับ

๒. ตอนเป็นพระ ได้ดูหนังออนไลน์ ปาราชิกหรือไม่ (คิดแค่อยากดู ไม่ได้คิดว่าเป็นหนังเถื่อน) แต่ดูไม่จบ ป.ล. ตอนนี้สึกแล้วครับ

ขอบคุณครับ (กังวลมากเลย เพราะตอนเป็นพระ รู้เท่าไม่ถึงการณ์)


- การดูหนังออนไลน์ เมื่อเป็นเพศพระภิกษุ ไม่ได้ต้องอาบัติปาราชิก เพราะ ไม่ได้ขโมย แต่เป็นการดูหนัง แต่การดูหนังเป็นอาบัติข้ออื่นที่เบากกว่าปาราชิก และ ก็ไม่เป็นกรรมที่จะต้องไปอบายภูมิ ตกนรกอะไร ครับ ที่สำคัญ เมื่อสึกออกมาแล้ว อาบัติทั้งหลายที่เคยล่วงมา ไม่ว่าจะเป็นอาบัติข้ออะไร ย่อมไม่ติดตัวผู้นั้น และ ไม่เป็นเครื่องกั้น การเกิดในสวรรค์ และ การบรรลุมรรคผล ครับ

เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นคฤหัสถ์แล้ว อาบัติของพระภิกษุ จึงไม่ได้ติดตัวมาด้วย นอกเสียจาก หากกลับไปบวชเป็นพระภิกษุอีก อาบัติที่เหลือ ที่ยังไม่ได้ปลง ย่อมกลับมาอีก และต้องปลงอาบัติให้เหมาะสมในข้อที่ก้าวล่วง ครับ

สรุปได้ว่า ท่านผู้ถามไม่ได้ต้องอาบัติปาราชิก และ อาบัติต่างๆ ก็ไม่ติดตัวมาแล้วเมื่อสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์

แต่ประโยชน์ที่สำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะมีกรรมติดตัวหรือไม่ เพียงแต่ปัจจุบัน เมื่อเป็นเพศคฤหัสถ์แล้ว ก็ควรเจริญกุศล อบรมปัญญา ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ใช้ชีวิตให้เหมาะสมกับเพศคฤหัสถ์ ซึ่งจะเป็นการใช้ชีวิตทีดีได้ ก็ด้วยชีวิตที่มีปัญญา เพราะ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ก็ย่อมเห็นโทษของอกุศล และเห็นคุณของการเจริญกุศล อันจะมีได้ก็ต้องอาศัย การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ha0000ha
วันที่ 25 มิ.ย. 2555

ขอบคุณมากครับ หายกังวลไปเยอะเลย

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 25 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำคัญที่สุด คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาต และไม่ประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม ความเดือดร้อนใจในภายหลังที่เกิดขึ้น ก็เป็นเพราะไม่ได้คล้อยตามพระพุทธพจน์ ถ้าได้สำรวมตามสิกขาบทต่างๆ ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ การต้องอาบัติน้อยใหญ่ก็จะไม่เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นเหตุให้เดือดร้อนใจในภายหลัง ครับ

ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของการบวชว่า บวชเพื่ออะไร ก็จะทำให้ละเลยถึงกิจที่ตนเองควรทำให้สมกับเพศที่สูงยิ่งกว่าคฤหัสถ์ คือ ละเลยในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด การประพฤติปฏิบัติก็ย่อมจะผิดไปด้วย ทำให้มีความย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ต้องอาบัติด้วยความไม่ละอาย โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นโทษเป็นภัยอย่างไร เป็นไปตามการสะสมของแต่ละคนแต่ละท่านจริงๆ

ตามความเป็นจริงแล้ว ความเป็นบรรพชิตเป็นเพศที่สูงยิ่ง ถ้ารักษาไม่ดี ก็ย่อมมีแต่จะทำให้เกิดโทษแก่ตนเองโดยส่วนเดียว คร่าไปสู่อบายภูมิได้เลยทีเดียว ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์สูงสุดของการบวช ก็จะเป็นผู้ศึกษาพระธรรมและน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ

พระธรรมวินัย เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำ ทุกพยัญชนะ เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อละคลายกิเลส เพื่อกำจัด (วินัย แปลว่า กำจัด) กิเลส จนกว่าจะถึงกาละที่กิเลสจะดับหมดสิ้นไป

ทั้งหมดนั้น ควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม ทั้งพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม ศึกษาเมื่อใด เข้าใจเมื่อใดก็เป็นประโยชน์เมื่อนั้น เพราะความเข้าใจพระธรรมวินัย ไม่มีความเสียหายใดๆ เลย มีแต่ประโยชน์โดยส่วนเดียว เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ความดีประการต่างๆ เจริญขึ้น ทำให้ถอยห่างจากอกุศลไปตามลำดับ จนกว่าจะสามารถละได้จนหมดสิ้น

บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมเท่านั้น ที่จะได้ประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 25 มิ.ย. 2555
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 25 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
edu
วันที่ 25 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับผม ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 26 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pat_jesty
วันที่ 26 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 29 มิ.ย. 2555

การบวชเป็นพระภิกษุ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยใหญ่จริงๆ และ เห็นโทษของกิเลส บวชเพื่อขัดเกลา ละคลายอกุศลที่ไม่ดีต่างๆ สูงสุดเพื่อถึงจุดหมายคือการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Graabphra
วันที่ 29 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ