ธรรมทาน กับ อภัยทาน ทานอย่างไหนมีอานิสงส์มากกว่ากันครับ
ตามหัวข้อ อยากทราบว่าทานอย่างไรมีอานิสงส์มากกว่ากันครับ ระหว่างธรรมทาน และ อภัยทาน เพราะมีบางที่บอก อภัยทานมีอานิสงส์มากกว่าธรรมทาน แต่เคยได้ยินมาว่า การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวง จึงคิดว่า ธรรมทาน น่าจะมีอานิสงส์มากกว่า
ขอผู้รู้ให้ความกระจ่างแจ้งด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทาน คือ การให้ อันเป็นเจตนาสละ สิ่งใด สิ่งหนึ่ง ทั้งที่เป็นการสละ ที่เป็นวัตถุรูปธรรม และเป็นการสละ ให้สิ่งที่เป็นนามธรรม มีการให้ ปัญญา ความเข้าใจ เป็นต้น
ทาน แบ่งเป็น ๓ อย่างดังนี้ คือ อามิสทาน อภัยทาน และ ธรรมทาน
อามิสทาน คือ การให้วัตถุ สิ่งของ เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นที่รับ ด้วยเจตนาในการสละ ให้ด้วยจิตที่เป็นกุศล จึงเป็นการสละ สิ่งที่มีอยู่ เป็นวัตถุภายนอก
อภัยทาน ภัย คือ สิ่งที่นำมาซึ่งความน่ากลัว อภัย คือ ความไม่มีภัย ความไม่มีความน่ากลัว ไม่นำมาซึ่งสิ่งไม่ดี ดังนั้น อภัยทาน จึงเป็นการให้ความไม่มีภัย คือ ให้ความไม่น่ากลัว ให้ความไม่มีโทษ ดังนั้น การให้อภัย อภัยทาน จึงเป็นการให้ที่ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่ เป็นการให้ที่เกิดจากกุศลจิตของผู้ให้ เมื่อเกิดกุศลจิต ที่จะงดเว้นจากบาป มีการไม่ฆ่า เป็นต้น ขณะนั้น ก็ให้ความไม่มีภัย ให้ความไม่น่ากลัว กับสัตว์อื่น ทำให้สัตว์อื่นปลอดภัยจากการกระทำของตนเอง ที่เกิดกุศลจิต กุศลขั้น มีศีล ๕ เป็นต้น ที่เป็นการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น ก็ชื่อว่า อภัยทาน
อภัยทาน อีกนัยหนึ่ง คือ ความไม่โกรธผู้อื่น เมื่อได้รับสิ่งที่กระทบทางตา หู ... กาย อันสมมติว่าเป็นการกระทำของผู้อื่น เมื่อไม่โกรธ ก็ให้ความไม่มีภัยกับผู้นั้น เพราะภัย สิ่งที่น่ากลัว มาจากกิเลส หากไม่มีกิเลส ก็จะนำมาซึ่งความน่ากลัว การกระทำที่ไม่ดีไม่ได้เลยครับ เมื่อไม่โกรธ ก็ให้อภัย คือ ไม่มีภัย กับผู้อื่นในขณะนั้น เพราะ ไม่มีการกระทำทางกายที่ไม่ดี ไม่มีการกระทำทางวาจาที่ไม่ดี อันมีเหตุมาจากความโกรธ ที่เป็นภัย ครับ
อภัยทาน จึงสูงกว่า อามิสทาน เพราะ อภัยทาน เป็นการให้ ที่สละยากกว่า เพราะ เกิดจากกุศลจิตขั้นศีล ที่งดเว้นจากบาป ไม่ใช่ เป็นการสละวัตถุภายนอก ที่เป็นรูปธรรม อันเป็นอามิสทาน ครับ
ธรรมทาน คือ การแสดงธรรมที่ถูกต้อง แก่ผู้อื่น ทั้งในธรรมเบื้องต้น และ จนถึงธรรมที่สูงสุด มีการเจริญอบรมปัญญา เพื่อดับกิเลส เป็นต้น อันไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่ ด้วยความอนุเคราะห์กับผู้อื่นเท่านั้น
ธรรมทาน จึงเป็นการให้ ปัญญา ให้ความเข้าใจพระธรรม กับผู้อื่น เป็นการให้ที่ประเสริฐสูงสุด เพราะว่า อามิสทาน ก็เป็นเพียงการให้ความสุขเพียงโลกนี้ ที่จะสามารถให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ มีการให้อาหาร เป็นต้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้บุคคลนั้น มีความเข้าใจถูก ว่า การจะได้มาด้วยสิ่งนั้นจะต้องทำกุศล และ ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มาจากกิเลส
ส่วน อภัยทาน ก็เป็นการให้ความไม่มีภัยกับบุคคลนั้น เพราะ อาศัยการกระทำที่ดีทางกาย วาจาของเรา จึงไม่มีภัยกับบุคคลนั้น แต่ผู้นั้น ก็ยังจะต้องได้รับทุกข์ภัยจากผู้อื่น และที่สำคัญ ก็ต้องได้รับภัย คือ กิเลส และอภัยทาน ก็ไม่สามารถทำให้ผู้นั้นพ้นภัยที่แท้จริงได้ ยังจะต้องเกิด ตาย เพราะ มีกิเลส คือ ภัยที่แท้จริง เป็นต้นเหตุ ครับ
ส่วน ธรรมทาน ชื่อว่าเลิศที่สุดในบรรดาทานทั้งหลาย เพราะ เป็นการให้ความเข้าใจพระธรรม คือ ให้สิ่งที่เลิศที่สุด คือ ปัญญา และให้กุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดจากการมีปัญญาเป็นปัจจัย เมื่อปัญญาเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ดี ไม่ดี สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ ย่อมทำให้มีการให้อามิสทานมากขึ้น มีการเจริญขึ้นของกุศลประการต่างๆ รวมทั้ง ให้อภัยได้มากขึ้น เพราะ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะ อาศัยการฟังพระธรรม ก็ทำให้ผู้ที่ได้รับฟังพระธรรม ปัญญาเจริญขึ้น ก็มีการให้อภัยมากขึ้นด้วย หากไม่มีความเข้าใจธรรมแล้ว กุศลประการต่างๆ ทั้งอามิสทาน และ อภัยทาน ย่อมไม่เจริญมากขึ้น เลย ครับ
ที่สำคัญที่สุด เพราะอาศัยปัญญา ก็สามารถที่จะละภัยที่แท้จริง คือ กิเลส และ สามารถพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เพราะ อาศัย การฟังพระธรรม ที่เป็นธรรมทานจากผู้อื่น ธรรมทานจึงเป็นเลิศกว่าทานทั้งหลาย เพราะทำให้ผู้ฟังได้ปัญญา และ ทำให้สละสิ่งที่เป็นนามธรรมที่เป็นกิเลส และ ดับทุกข์ได้ทั้งหมดในอนาคต ครับ
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมทานเป็นเลิศกว่าทานทั้งหลาย ครับ
อีกนัยหนึ่ง ในบุญกิริยาวัตถุ นั้น แบ่งเป็น บุญขั้นทาน ศีล และ ภาวนา
อามิสทาน จัดอยู่ในกุศลขั้นทาน
อภัยทาน จัดอยู่ในกุศลขั้นศีล และ
การแสดงธรรม (ธรรมทาน) ที่เป็นธัมมเทสนามัย เป็นกุศลขั้นภาวนา ซึ่ง กุศลขั้นภาวนา สูงกว่า กุศลขั้นทาน และ ศีล ครับ การแสดงธรรมที่เป็นธรรมทาน เป็นเลิศกว่าทานทั้งหลายด้วยนัยนี้ ที่เป็นกุศลที่มีกำลังกว่า และ ที่สำคัญ ผู้ที่แสดงธรรมได้อย่างถูกต้อง จะต้องมีปัญญา ความเข้าใจธรรม
การมีปัญญา เข้าใจธรรมในขณะที่แสดง ก็เป็นกุศลที่มีกำลังกว่ากุศลขั้นอามิสทาน และ อภัยทานเพราะมีปัญญา เข้าใจธรรมในขณะนั้น ครับ
ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง.
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง [คาถาธรรมบท]
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก พระธรรมแต่ละคำก็เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งนั้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง ถ้าจะว่าไปแล้ว ทั้งอภัยทาน และ ธรรมทาน ก็ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย
อภัยทาน หมายถึง การให้ซึ่งความไม่มีภัยแก่ผู้อื่น เป็นการงดเว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต เป็นต้น เป็นการให้ความไม่มีภัย ซึ่งก็คือเป็นการให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น
และ ยังหมายถึงความไม่โกรธตอบเมื่อบุคคลอื่นกระทำสิ่งที่ไม่สมควรให้แก่ตน ถ้าจะเข้าใจโดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน การให้อภัย คือ ไม่โกรธ ถ้ายังโกรธผู้อื่นอยู่ แสดงว่ายังไม่ให้อภัย เพราะขณะนั้นถูกภัย คือ ความโกรธทำร้าย ทำให้ขุ่นเคืองใจ ไม่สบายใจ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ถ้าสะสมต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจจะทำร้ายทำลายทุกอย่าง อย่างที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นถึงอย่างนั้นไปได้ เพราะในขณะนั้นโกรธ ผูกโกรธ และไม่ลืมที่จะโกรธ แต่ถ้าเป็นการให้อภัยแล้ว จะตรงกันข้ามเลย คือ ไม่โกรธ ไม่เป็นภัยในขณะนั้น และไม่ทำให้ภัยเกิดขึ้นจากการที่ไม่โกรธ ด้วย
อภัยทาน จึงเป็นธรรมที่ควรน้อมประพฤติปฏิบัติจริงๆ เพราะขณะที่โกรธ ตนเองเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่ถ้าให้อภัย ก็เบาสบาย ไม่หนักด้วยอกุศล
ส่วน ธรรมทาน เป็น การให้ธรรม การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับธรรม กุศลทั้งหลายจะเจริญขึ้นได้ก็เพราะธรรมทาน ถ้าหากจะพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลผู้ที่จะเกื้อกูลผู้อื่นในทางธรรม ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม เผยแพร่พระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องตรงตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยเหลือบุคคลอื่นให้เข้าใจพระธรรม โดยทางหนึ่งทางใด ไม่ว่าจะเป็นโดยการสนทนาธรรม แสดงธรรม ถามตอบปัญหาธรรม การสงเคราะห์ช่วยเหลือในเรื่องที่จะเป็นไปในธรรมทั้งหมด ก็เป็นธรรมทาน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ตรงตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อภัยทานนั้น เป็นการงดเว้นอกุศลทางกายและทางวาจา
ส่วนธรรมทานนั้น ชี้หนทางสู่อริยะ เมื่อเหตุต่างกันผลจึงต่างกัน การให้ทานทั้งปวงนั้น หากมิใช่เพื่อละสังโยชน์แล้ว ก็ยังติดข้องอยู่ในผลของทาน
จาคะหรือทานนั้น เป็นเพียงเครื่องประกอบในการระลึกถึงกุศลจิตในขณะที่ให้ทาน ผลของกุศลกรรมเท่านั้นที่นำไปสู่สุคติ และจะรุ่งเรืองอยู่สูงเพียงใด ขึ้นอยู่กับกุศลจิตว่ามีปัญญาเกิดขึ้นประกอบกับกุศลในขณะที่ให้ทานระดับไหน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง."
"สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ตรงตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาในคำตอบ และขอบพระคุณครับ
ได้ความกระจ่างแจ้งในคำตอบมากครับ สาธุ