ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ไร่คุณกุล วังน้ำเขียว ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  28 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21311
อ่าน  7,592

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณสุรภา ภวนานันท์ เพื่อไปพักผ่อน และ สนทนาธรรม ที่ ไร่คุณกุล อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา

ไร่คุณกุล เป็นสถานที่ลาดไปตามเนินเขา ที่ทอดยาว ในบริเวณใกล้กับอุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่ มีทิวทัศน์ที่สวยงามเขียวขจี อากาศสดชื่น เย็นสบาย มีลมพัดผ่านตลอดวัน สถานที่พักมีหลากหลายให้เลือก มีความสะดวกสบายเรียบง่าย

ข้าพเจ้าเคยมาที่นี่ เมื่อหลายปีก่อนกับพี่ชาย ซึ่งพามาดูที่ของเพื่อนที่เคยทำงานที่ ปตท. (การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย) ด้วยกัน แต่จำไม่ได้ว่าเป็นที่ไหน เมื่อมาถึงไร่คุณกุล ได้สอบถามคุณสุรภา (คุณเล็ก) จึงทราบว่า คุณเล็ก เป็นเพื่อนกับคุณธีรกุล เจ้าของไร่ และ ทั้งสองท่าน ยังเป็นเพื่อนกับพี่ชายของข้าพเจ้าที่เคยทำงานที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยด้วยกัน อีกด้วย และ สถานที่นี้ ก็คือ ที่เดียวกันกับที่ข้าพเจ้าเคยมาดูที่ดินโล่งๆ กับพี่ชายของข้าพเจ้าเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง คุณเล็กเอง ถึงกับออกปาก ถึงความวิจิตรของกรรม ที่ ไปๆ มาๆ เราก็กลายเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง สำหรับข้าพเจ้า นี่เป็นความเกี่ยวข้องที่ประเสริฐที่สุด คือเกี่ยวข้องเกื้อกูลกันในธรรม ได้มีโอกาสเผยแพร่พระธรรมร่วมกัน

ข้าพเจ้าได้ทราบว่า คุณเล็กมีเงินรายได้ที่เหลือจากการจัดทัวร์ไปอินเดียเมื่อปลายปีที่แล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งเธอมิได้เก็บไว้ใช้เอง แต่นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการสนทนาธรรมในครั้งนี้ทั้งหมด เป็นกุศลจิต และ กุศลเจตนา ที่น่าชื่นชมอนุโมทนาอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เป็นการให้โอกาสแก่สหายธรรมทุกท่าน ในการฟังและสะสมความเข้าใจธรรม แต่ยังเกื้อกูลแก่มิตร ที่ทำธุรกิจ โดยเลือกที่จะใช้บริการ ในกิจการของเพื่อน ทั้งยังเป็นโอกาส ให้สหายธรรมหลายท่าน ได้เจริญกุศล และ ทำความดีร่วมกัน ข้าพเจ้าได้เห็นการช่วยกันปัดกวาด เช็ดถู จัดสถานที่สนทนาธรรม ช่วยกันจัดเตรียมผักกะเฉดชะลูดน้ำ ที่พี่เดือนฉายนำมาจากปราจีนบุรี ให้แม่ครัวผัดน้ำมันหอย

ช่วยกันทำน้ำนมข้าวโพดที่คุณเล็กซื้อข้าวโพดสดๆ ที่หวานอร่อย ดีต่อสุขภาพมาก ปอกมะม่วงที่คุณหมอวิภากรนำมา แล้วจัดใส่จาน แม้กระทั่งสหายธรรมสองท่าน ที่ข้าพเจ้าเคยพบที่เชียงใหม่ เมื่อคราวไปสนทนาธรรมที่โครงการหลวงอินทนนท์ เมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ต้องกราบขออภัยด้วยครับ ลืมถามชื่อท่าน ก็ขับรถมาเองจากนครสวรรค์ ทั้งยังนำเค้กกล้วยหอม ที่ท่านทำเองมาให้ทุกท่านได้รับประทานอีกด้วย เป็นภาพของความชื่นบาน อันเกิดจากกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่งครับ รวมทั้งคุณทวีชัย ที่นำเสื้อยืดที่มีเนื้อผ้าอย่างดี มีข้อความธรรมะเตือนใจที่ไพเราะนับร้อยตัว ที่ท่านมีศรัทธาทำมาแจกสหายธรรมทุกท่าน กราบอนุโมทนาด้วยครับ

อย่างที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวแล้ว ในการไปที่อินเดีย กับ คุณเล็กคราวก่อนที่นอกจากทุกท่าน จะได้รับความสะดวกสบายและเอาใจใส่อย่างดียิ่งในการเดินทางแล้ว คุณเล็กเธอยังตระเตรียมขนมและของกินต่างๆ มากมายไปด้วย แม้ในครั้งนี้ก็เช่นกันแม้ว่าข้าพเจ้าจะเดินทางตามไปสมทบในภายหลัง ก็ได้รับความสะดวกสบายอย่างดีมีอาหารการกินเพียบพร้อม อุดมสมบูรณ์ และ อร่อยทุกมื้อ ทุกอย่าง ครับ

อันดับต่อไป เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แน่นอน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นจุดประสงค์แท้จริงของการเดินทางติดตามท่านอาจารย์ไปในทุกที่ ทุกแห่ง คือ การได้ฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์ และ ท่านวิทยากรกล่าว เป็นความมุ่งหมายสูงสุดของข้าพเจ้า และแน่นอน ของทุกๆ ท่านด้วย ที่จะมีโอกาสสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ อันเป็นที่พึ่งเดียวของทุกบุคคล ที่จักพาออกจากกองทุกข์นี้ได้อย่างสิ้นเชิง ในวันหนึ่ง ความเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อย จากการที่ได้ฟัง ในทุกครั้งไม่ว่าจะในสถานที่ใด ใกล้หรือไกลเพียงใดก็ตาม เป็นสิ่งที่ประมาณค่าไม่ได้เลยสำหรับบุคคลที่รู้ค่าของความเข้าใจพระธรรม ว่าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บุคคลควรสะสมไว้ เป็นอริยทรัพย์ภายใน อันจะเป็นที่พึ่งแท้จริง และ มีค่ามากยิ่งกว่าการสะสมสิ่งใด ในโลก

บัดนี้ ข้าพเจ้าใคร่ขออนุญาต นำความสนทนาบางตอนในวันนั้น ที่มีความไพเราะอย่างยิ่ง มาฝากให้ทุกท่านได้พิจารณาโดยละเอียด เพื่อยังประโยชน์แก่ทุกๆ ท่านที่ไม่มีโอกาสได้ไป ตามควรแก่กาล ดังนี้ครับ

อาจารย์อรรณพ ท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าฟังธรรมะแจ่มแจ้ง ก็ไม่มีอะไรจะถาม ท่านอาจารย์ครับ ในพระไตรปิฎก พระสาวกท่านก็เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ไม่มีข้อสงสัยอะไร แต่ว่าพระสาวกต่างๆ ก็ยังทูลถามปัญหาพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ อยู่เสมอ อันนี้ เพราะอะไรครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ เพราะความลึกซึ้งของธรรมะ ซึ่งแต่ละคน ก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้งได้ ตามกำลังของปัญญา เพราะฉะนั้น แม้แต่สภาพธรรมะตามปรกติอย่างนี้ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ต้องมีปัญญามากกว่าผู้ที่เป็นพระอนาคามีบุคคล พระสกทาคามีบุคคล พระโสดาบัน และ ปุถุชน เป็นของที่แน่นอน แต่ว่า ปัญญาของท่าน ก็ไม่สามารถที่จะเท่ากับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ด้วยความที่ท่านเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมะอย่างยิ่ง และ ขณะนั้นพระผู้มีพระภาค ก็ยังประทับอยู่ด้วย ควรที่ท่านจะได้ "ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แทนที่ท่านจะ "คิดเอง"

เพราะฉะนั้น บางครั้งเวลาที่อ่านพระไตรปิฎก เราจะเห็นว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่มองดูว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่เล็กน้อย ในการที่ท่านจะได้รู้ ความละเอียด ลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคฯ เพราะเหตุว่า สิ่งที่ท่าน เหมือนจะเข้าใจว่าเล็กน้อย สำหรับคนอื่น แต่สำหรับพระผู้มีพระภาคฯแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะถาม แม้ในสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจว่า เล็กน้อย

แม้แต่เวลาที่ท่านเหล่านั้น อยู่ที่ป่าโคสิงคสาลวัน แต่ละท่านก็สนทนาธรรมด้วยเรื่องที่น่าประหลาด (ใจ) สำหรับคนอื่น ที่จะคิดว่า เล็กน้อยเหลือเกิน เพราะว่า ท่านถามกันว่า "ป่าโคสิงคสาลวัน จะงามเพราะอะไร?" แค่นี้เอง เห็นไหม? แต่ว่า ความเห็นของแต่ละท่าน ก็ต่างๆ กันไป ตามการสะสม ซึ่งแน่นอนที่สุด คำตอบของแต่ละท่าน ไม่เหมือนกัน ไม่ตรงกัน เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ก็ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคฯ กราบทูลถาม นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นผู้ที่เคารพ ในบุคคลผู้เลิศที่สุด แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน ท่านก็ยังเห็นควรที่จะไปเฝ้า แล้วก็กราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อาจารย์อรรณพ กราบท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นความต่างกันอย่างเทียบกันไม่ได้ ระหว่างผู้ที่ท่านมีปัญญามาก แล้วท่านมีความละเอียด เพราะฉะนั้น ท่านก็จะไม่ข้ามสิ่งที่ละเอียด แล้วก็รู้ว่า ระดับปัญญาต่างกัน รู้ฐานะว่า ไม่ใช่พระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็ต้องอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่อาศัย กับการที่จะข้ามไป เพราะเราเห็นว่า (เป็น) สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจได้ เหมือนกับลวงว่า ของเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะตัดสินใจ แล้วก็รู้อยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะถาม สำหรับผู้ที่ไม่ละเอียด อันนี้ แสดงว่าไม่มีความละเอียด ในการที่จะได้ความลึกซึ้งของพระธรรม หรือยังไงครับ?

ท่านอาจารย์ คำพูดแต่ละคำ ที่เราได้ยิน ได้ฟัง และ พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคฯตรัสด้วยพระองค์เอง เพียงแค่ "คำ" ไม่มากแต่เราเข้าใจความลึกซึ้งนั้นแค่ไหน? น่าคิด.....น่าคิด........"เสียง".....เกิดมาได้อย่างไร? เห็นไหม? จาก..."ไม่มีเสียง"......แล้ว..."เสียง".....เกิดขึ้นได้อย่างไร?

แค่นี้ก็ไม่คิดแล้วก็พูดกันไปทั้งวันไม่ได้คิดเลยว่าแม้แต่.....ไม่มี.....แล้ว.....มี.....แล้วสิ่งที่ "มี" นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่น่าอัศจรรย์หรือ?

"เห็น" ขณะนี้ จากเมื่อกี้นี้ที่ "ไม่เห็น" แล้ว "เห็น" แล้วไม่เคยคิดเลยว่า ทำไม? ถึงจากไม่มี แล้วมีได้ แต่ละอย่าง หลากหลาย มากเหลือเกิน วันหนึ่งๆ มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้น ต่างๆ นาๆ โดยผู้ที่ไม่มีปัญญา ไม่เคยคิดเลย ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร? เกิดขึ้นแล้ว ไปไหน? นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างของปัญญาว่า ผู้ที่ไม่มีความละเอียด แล้วก็ไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ เป็นสิ่งที่มี แต่น่าอัศจรรย์ ที่ว่า ใครทำให้มี หรือว่า เกิดขึ้นมีได้อย่างไร? และ มีแล้วหายไปไหน? ก็ยังไม่คิดอีก

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้ไม่รู้นี่ ไม่รู้ไปหมดเลย แม้แต่เพียงไม่กี่คำ ที่เป็นความจริง แล้วเราก็ได้ฟังบ่อยๆ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ต้องเกิด จึงปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ และ เมื่อเกิดแล้ว หมดแล้วค่ะ ไปไหน? หายไปไหน? หรือว่า ไม่เคยคิดเลย คิดแต่ว่า ไม่ได้หมดไปเลย ยังมีอยู่ แม้แต่ในขณะนี้ ก็ยังเห็นเหมือนเดิม นี่คือความต่างกัน ของผู้ที่ละเอียด และ ผู้ที่มีปัญญา ที่จะไม่ข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ว่า ผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฎในขณะนี้ มีแน่นอน โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง

เพราะฉะนั้น การฟัง เพื่อที่จะได้รู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ ประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า ใครจะมาพูด ถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องได้

เกิดมา ก็เรียนอะไรตั้งหลายอย่าง มีความพอใจ ที่จะเรียนสิ่งนั้น แต่ว่าสิ่งที่น่ารู้ กว่าสิ่งอื่นใด ก็คือ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ แต่ว่า ตามแต่อัธยาศัย นี่เป็นเหตุ ที่พระธรรม ไม่ได้แพร่หลาย ไปจนทั่วถึงทุกคนได้ ต้องแล้วแต่การสะสมว่า บุคคลนั้น เห็นประโยชน์ของการที่จะได้ฟัง สิ่งที่น่าฟัง ยิ่งกว่าสิ่งอื่น

เพราะเหตุว่า อย่างไรๆ เกิดมาแล้ว มีตา ก็แค่เห็น จะคิดอะไรเกินกว่าที่เห็น ก็คงไม่ได้ แต่เวลาที่ได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง หลากหลายมาก หลายเรื่องจริงๆ แต่ว่า ประโยชน์อะไร? จากการฟังเรื่องสิ่งต่างๆ ในที่สามารถที่จะได้ยินได้ฟัง สิ่งซึ่งทำให้สามารถที่จะรู้ความจริงได้ พอพูดถึงความจริง จะไปหาที่ไหน? ดูเหมือนว่าพูดง่ายๆ ใช่ไหม? สิ่งที่มีจริงๆ เป็นความจริง แล้วอยู่ไหนล่ะ? สิ่งที่มีจริง ที่เป็นความจริง เป็นแต่เพียงเรื่องราวที่พูดกันว่า เรื่องนั้นจริง เรื่องนี้จริง โดยที่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริง ต้องมีอยู่ ในขณะนี้

เพราะฉะนั้น แม้แต่การจะฟังพระธรรม ก็มองดูเหมือนกับว่า ไม่ใช่วิชาการใหญ่โตอะไร ที่ต้องไปเข้ามหาวิทยาลัย หรือว่า เรียนเป็นปีๆ ต้องคิดค้น จนกว่า จะมีอะไรที่คนอื่น ไม่สามารถที่จะคิดค้นได้ เป็นความสำเร็จ เป็นความยิ่งใหญ่ แต่ว่า ความจริงแล้ว ก็คือว่า สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ รู้ หรือ ยัง?

ยิ่งใหญ่หรือเปล่า? หรือว่า อย่างอื่นสำคัญกว่า? ไม่ว่าใคร จะศึกษาวิชาการใดๆ มาทั้งหมด ก็เพื่อที่จะมีชีวิต ที่มีความสุขเห็น...ดี..น่าพอใจ.....ได้ยิน..ดี.....ได้กลิ่น..ดี.....ลิ้มรส..ดี.....มีเงินทอง มีเกียรติยศ ชื่อเสียง เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น แต่ว่า ตามความเป็นจริงก็คือว่า เดี๋ยวนี้!! มีอะไร ที่มีจริงๆ อย่างที่คิดว่าสำคัญหรือเปล่า?

"ลาภ" อยู่ที่ไหน? เวลานี้ ถ้าใครต้องการลาภ ลาภ คือ สิ่งที่น่าพอใจ อยากได้ อยากเห็น อยากมี แล้วอยู่ไหน? ได้แต่ "คิด" ใช่ไหม? ได้แต่ต้องการ โดยที่ไม่รู้ความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มี มีอยู่ ชั่วคราว แล้วอยู่ไหน? ถ้ามีจริงๆ อยู่ไหน?

ฟังไป อาจจะงง? เพราะเหตุว่า เป็นการเริ่มต้นของการที่จะให้รู้จริงๆ ว่า สิ่งใดแน่ ที่ควรรู้ ควรเข้าใจ เวลาที่มีเงินทอง มีทรัพย์สิน มีเกียรติยศ มีความสุขหรือ? หรือว่า ทุกข์ก็ได้??? ก็ไม่เคยคิดอะไรสักอย่าง นะคะ เกิดมา ก็ "คิดเอง" ตามใจชอบ อยากเห็น อยากได้ยิน เป็นสุข เป็นทุกข์ แต่ไม่รู้เลย "ชั่วคราว" แค่ไหน? เพราะเหตุว่า จะจากสิ่งนั้นไป เมื่อไหร่ก็ได้ วันไหนก็ได้ โดยที่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งที่ต้องการจริงๆ แท้ๆ นี่ เมื่อไหร่ ขณะไหน? เป็นต้นว่า เดี๋ยวนี้ ต้องการอะไรหรือเปล่า? เดี๋ยวนี้!!

อาจารย์ อรรณพ ครับ ตัองการเห็น ต้องการได้ยิน ต้องการลาภ

ท่านอาจารย์ ก็เห็นแล้ว ใช่ไหม? ก็ได้ยินแล้ว แล้วยังต้องการอะไรอีก?

อาจารย์ อรรณพ ก็ยังอยากเห็น อยากได้ยิน อย่างนี้ตลอดไป

ท่านอาจารย์ ยังไงก็ต้องเห็นอีก ได้ยินอีก อย่างนี้ตลอดไป ใช่ไหม? นี่ค่ะ ก็คือ ไม่รู้จริงๆ ว่าแท้ที่จริงแล้ว แม้แต่ที่ต้องการต้องการอะไรกันแน่? อย่างที่คุณอรรณพตอบ ต้องการลาภ ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน แล้วลาภอะไรจะมาปรากฏ? จะมีลาภแต่ที่ไหน?

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือว่า ทุกคน ติดข้อง ต้องการเห็น ต้องการได้ยิน แต่ว่า ต้องการเห็น ต้องการได้ยิน แต่เฉพาะสิ่งที่น่าพอใจ ซึ่งจะได้ หรือไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย ไม่ใช่เพราะ "อยาก" บางคนคิดว่า คงจะได้ เพราะทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วแต่ว่า ขณะนี้จะได้อะไร ได้แล้วด้วย พอใจหรือยัง?อยากเห็น ก็เห็นแล้ว พอหรือยัง? อยากได้ยิน ก็ได้ยินแล้ว พอหรือยัง? ยังไม่พอ ก็ยังอยากจะเห็นต่อไป ได้ยินต่อไป โดยไม่รู้เลยว่า ดีหรือเปล่า ที่เกิดมาแล้ว ต้องเห็น ต้องได้ยินไปเรื่อยๆ บังคับไม่ให้เห็น ก็ไม่ได้ บังคับไม่ให้ได้ยิน ก็ไม่ได้ แล้วก็ยังอยากจะเห็น อยากจะได้ยิน ทั้งๆ ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน

คนที่ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" อาจจะชอบฟัง "เรื่องของธรรมะ" "อริยสัจจะ" ได้ยินมาตั้งแต่เป็นนักเรียน ทุกขอริยสัจจะเป็นต้น แต่ว่า ตามความเป็นจริง พระธรรม ลึกซึ้งมาก ถ้าเรายังไม่เข้าใจ ละเอียดจริงๆ ขณะที่กำลังต้องการเข้าใจ หรือได้ยินได้ฟังเรื่องอื่น แต่ไม่พูดถึงแม้แต่คำว่า "เดี๋ยวนี้เป็นภาระ" เราจะเห็นไหมว่า เราต้องการภาระอีกเยอะเลย ต้องการ "ภาระ" ที่จะเข้าใจอริยสัจจ์ ต้องการภาระอื่นๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เป็นภาระ

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ต้องไตร่ตรองจริงๆ ว่า บางคน "ฟัง" เพราะอยากจะได้ (ชื่อว่า) เป็นผู้ที่ได้ยิน ได้ฟังพระธรรม เกิดมาแล้ว อยากได้ยิน ได้ฟังพระธรรม แต่ไม่รู้หรอกว่า พระธรรมเป็นยาขมหรือเปล่า? มีใครอยากจะบริโภค อยากจะกินยาขมๆ บ้าง? แต่เป็นยาขมจริงๆ เพราะว่า ตรงกันข้ามกับชาวโลก ชาวโลกต้องการความเกิดมา แล้วก็มีการเห็น มีการได้ยิน มีการสนุกเพลิดเพลินต่างๆ แต่ชาวโลกไม่เห็นโทษภัยของสิ่งที่ทำให้เกิดความพอใจเพียงชั่วคราว

แต่ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งเป็นสัจจะ เป็นความจริง ซึ่งรู้ยาก เห็นยาก กว่าจะเห็นตาม ว่าแม้ขณะที่กำลังเห็นอย่างนี้ เป็นทุกข์หรือเปล่า? ก็พูดแต่เรื่องทุกข์กันไป โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า ทุกข์ที่แท้จริง อยู่ที่ไหน?

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ก็ต้องเป็นเรื่องที่ไตร่ตรองจริงๆ ว่า กว่าเราสามารถที่จะเห็นคุณ ของความเข้าใจ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ว่าพระธรรมนี้ ทรงแสดงเรื่องโทษภัย ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดขึ้นแล้วก็จะดี เกิดขึ้นไม่ดี เพราะอะไร?เกิดขึ้นแล้ว หมดไป แต่ว่า ก่อนจะหมด ก็ทำให้ผู้ที่ไม่รู้ ติดข้อง แล้วก็ยังคงไม่รู้ แล้วก็ยังแสวงหา สิ่งซึ่งไม่เป็นสาระ หรือว่า ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะเหตุว่า เพียงปรากฏให้หลง ติดข้อง พอใจ

ทั้งหมดที่แสวงหา ต้องแสวงหาสิ่งที่พอใจ แต่ว่า สิ่งที่พอใจนั้น น่าพอใจจริงหรือ? เพราะเหตุว่า "หลอก" ให้ติดข้อง ให้พอใจ เพราะว่า ปรากฏแล้วหมดไป แล้วใครจะรู้ล่ะคะ ว่า ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น!!!

เพราะฉะนั้น การที่จะได้ชื่อว่า ผู้ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ก็ไม่ประมาทเลย ว่าแท้ที่จริง ที่กำลังฟังนี้ "ฟัง" เพื่อเข้าใจความจริง ของสิ่งที่เป็นโทษ ทั้งนั้นเลย เกิดขึ้น ก็ต้องดับไป แต่ว่าก่อนดับ ก็ติดข้อง โทษอยู่ที่ไหน? โทษอยู่ที่ ความติดข้อง ก็ไม่เห็น แล้วก็จะฟังธรรมะเพื่ออะไร?

นี่ก็คือว่า แม้แต่เพียงการที่จะรู้ประโยชน์จริงๆ ของการ "ฟัง" ว่าสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ลึกซึ้งจริงๆ แล้วก็ สิ่งที่เกิดแล้ว เป็นโทษ เพราะเหตุว่า ใช้คำว่า "ทุกข์" หรือ ใช้คำว่า "โทษ" ต่างกัน หรือ เหมือนกัน? เพราะว่า อริยสัจจะ ความจริงที่แท้จริงที่สุด ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรที่สามารถจะตั้งมั่น ยั่งยืนได้เลย

แล้วก็มาฟัง สิ่งซึ่งไม่ตั้งมั่นเลย เพียงชั่วคราว ที่กำลังปรากฏ แล้วหมดไป เพื่ออะไร? สำหรับคนที่ต้องการรู้ความจริง ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ ด้วยตนเองได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรง จนกระทั่ง แต่ละคำ เห็นคุณค่าจริงๆ ว่า กำลังฟังให้เข้าใจ แต่ละคำ ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดแล้วดับไป

การเกิดดับ เป็นภาระ ที่อยู่ดีๆ ก็ไม่มีอะไรเลย ต้องเกิดมา แล้วก็มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็หมดไปอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จบ เห็นไหม? ว่าแต่ละคำ กว่าจะเข้าถึงใจ ว่าเป็นสิ่งที่เป็นจริงอย่างนั้น แล้วก็เป็นโทษเป็นภัยอย่างนั้น

จึงต้องฟัง เพื่อหาทางออกจากสิ่งซึ่งไม่เที่ยง แล้วก็เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ทุกภพชาติ แล้วก็กำลังปรากฏด้วย แต่ว่ารู้ยากจริงๆ

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณสุรภาและทุกท่านที่จัดให้มีการสนทนาธรรมครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ด้วยครับ

ท่าน ๒ ท่าน ที่มาจากนครสวรรค์และนำเค็กกล้วยหอมมาด้วย คือ คุณบรรพตและภรรยาครับ

คุณบรรพตนั้นเคยพบกับผมมาหลายปีแล้วที่จังหวัดพิจิตรและท่านยังเกื้อกูลนำไฟล์บรรยายธรรมท่านอาจารย์มามอบให้ผมได้ฟัง ได้ประโยชน์มากเลยครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนามา ณ ที่นี้ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"...เกิดมา ก็เรียนอะไรตั้งหลายอย่าง มีความพอใจ ที่จะเรียนสิ่งนั้น แต่ว่า

สิ่งที่น่ารู้ กว่าสิ่งอื่นใด ก็คือ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wanipa
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
aurasa
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
aurasa
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

ขออนุญาตนำบางรูปออกเผยแพร่แต่มีลิ้งค์ นี้ประกอบด้วยนะคะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"สิ่งที่ควรรู้ยิ่งก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pat_jesty
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัยและทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 29 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยและทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 29 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
บรรพต
วันที่ 1 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อนุโมทนา ในกุศลจิต ทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 5 ก.ค. 2555

"กว่าจะเห็นตามว่า แม้ขณะที่กำลังเห็นอย่างนี้ เป็นทุกข์หรือเปล่า?

ก็พูดแต่เรื่องทุกข์กันไป โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า

ทุกข์ที่แท้จริง อยู่ที่ไหน?"

.

สภาพธรรมที่เกิดดับนั่นเอง....เป็นทุกข์

ขอบคุณท่านวันชัยสำหรับกระทู้ดีๆ ที่เต็มไปด้วยสีสันและสาระค่ะ

ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ ผู้ที่ให้ธรรมเป็นทานมาโดยตลอด

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ