อสงไขยแสนกัป และสมัยนี้

 
peeraphon
วันที่  29 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21314
อ่าน  1,446

เรียนถามท่านอาจารย์ครับ

ช่วงหลังๆ นี้ได้อ่าน พระไตรปิฏกฉบับ PDF ที่ ดาวน์โหลดจากในเว็บ dhammahome ครับ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการแยกเป็นหมวดหมู่ครับ ทำให้ง่ายต่อการหา. แต่พออ่านๆ ไปแล้ว ก็พบว่า บุคคลที่ ได้เจอกันมาในชาตินี้ล้วนแต่เจอกันมาชาติที่แล้วๆ มาทั้งนั้น และยังไปเจออีกหลายๆ ตอน โดยเฉพาะในพระสูตร ได้พูดถึงเรื่อง กัป ร้อยกัป พันกัป หมื่นกัป แสนกัป และ พระพุทธเจ้าได้มีการแสดงธรรม โดยยกตัวอย่างหลายๆ บุคคล ในชาติก่อนๆ มา อ่านไปก็ได้เจอ กษัตริย์ที่ชื่อซ้ำๆ กันบ้าง ชื่อคล้ายๆ กันบ้าง ก็เลยคิดสงสัยว่า เรื่องที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดม ยกขึ้นมาทรงแสดง ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นบุคคลที่อยู่ในยุคที่ต้องมีการทำไร่ ทำนา อยู่ในหุบเขา ซึ่งนานมากแล้ว. ก็เลยคิดมาเปรียบเทียบกับสมัยนี้. สมัยนี้มีเทคโนโลยี อะไรต่างๆ มากมาย แต่ในสมัยที่ทรงแสดงจะเป็นเหมือนกับสมัยโบราณซะมากกว่า ถึงแม้จะย้อนกลับไป ในสมัยพระพุทธเจ้าฑีปังกร ที่ทำนายว่า พระสมณะโคดมจะได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีก่อน ในสมัยที่ท่านทำนายนั้น ก็อ่านดูแล้วก็ยังเหมือนยังเป็นสมัยโบราณ ซึ่งไม่เหมือนกับสมัยนี้.

เลยเกิดความสงสัยว่า หากว่าเราเคยผ่านสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาเป็นอสงไขยแสนกัป หลายๆ แสนกัป แล้ว. เราเคยผ่านยุคที่เป็นโบราณ ต้องทำไร ทำนากันอย่างเดียว และก็สมัยนี้ที่มีเครื่องใช้อำนวยความสะดวกต่างๆ แล้วเราจะต้องผ่านสมัยแบบเดิมอีกหรือไม่อย่างไร ครับ?

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 1 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สมัย สมย ก็คือ ช่วงเวลา ที่จะมี ช่วงเวลาได้ ก็เพราะ อาศัย สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก เกิดขึ้นและดับไป จึงมีเวลาในอดีต ปัจจุบันและ อนาคต และ ไม่ใช่มีแต่ จิต เจตสิก เท่านั้น ก็ยังมีสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย เรียกว่า รูป ซึ่ง รูปก็มีหลายๆ รูป ประชุมรวมกัน เป็นสิ่งต่างๆ บัญญัติว่าเป็นต้นไม้ ภูเขา เป็นโลก เป็นจักรวาล เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์

เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีกิเลส สัตว์โลกก็ยังจะต้องเกิด ต้องตาย นับไม่ถ้วน และก็ต้องผ่านยุคสมัย ในช่วงเวลาที่เรียกว่า กัปเจริญ เจริญเพราะ มนุษย์

สัตว์โลกมีคุณธรรม ไม่ต้องทำนา มีอาหารเกิดขึ้นเอง มีข้าวสาลี เป็นต้น เกิดขึ้นเอง มนุษย์เหาะได้ เป็นต้น จึงไม่ต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวก เทคโนโลยี ตอบสนองต่อความต้องการในสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้ เพราะคนสมัยนั้นเจริญทางด้านจิตใจ จึงสามารถทำอะไรได้ง่าย ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยี ในช่วงต้นกัป และ จนท้ายสุด ช่วงกัปเสื่อม คือ ช่วงที่สัตว์โลกเต็มไปด้วยกิเลส มนุษย์ไม่สามารถมีฤทธิ์เหมือนเมื่อก่อน เพราะ จิตใจเต็มไปด้วยกิเลส ทำให้จะต้องแสวงหาวิธีทำต่างๆ เพื่อให้ได้มาสนองความต้องการในสิ่งที่ตนทำไม่ได้ และ ขาดหายไป จึง สร้างสิ่งต่างๆ ที่เรียกว่าเทคโนโลยี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ทำด้วยอกุศล ทำด้วยอำนาจความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม และ ก็ต้องมีการทำไร่ ทำนาในปัจจุบันด้วย

เพราะฉะนั้น สัตว์โลกก็ต้องผ่านเหตุการณ์ที่สมมติว่าคล้ายกัน ที่มีการทำไร่ ทำนา มีเทคโนโลยี ต่อไปในอนาคต แต่สิ่งเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่เหตุการณ์เก่า เพราะ เหตุการณ์มีได้ เพราะ อาศัย จิต เจตสิกเกิดขึ้น เพราะ ถ้าไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ... การคิดนึก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นจิต เจตสิก ก็จะไม่มีเหตุการณ์ ไม่มีสมัยเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 1 ก.ค. 2555

ซึ่งในความเป็นจริง จิต เจตสิกเกิดขึ้นและดับไป ไม่เหลือเลย และ สิ่งที่เกิดขึ้น และ ดับไปแล้ว จะไม่กลับมาอีก สิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ จึงใหม่อยู่เสมอ ครับ

จิต เจตสิก เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอันสมมติจากจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น จึงใหม่เสมอ ใหม่ตามจิต เจตสิกที่ใหม่ตลอดเวลาที่เกิดขึ้นและดับไป แต่เพราะ ไม่ได้รู้ความจริง จึงดูเหมือนว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่คล้ายๆ กันได้ แต่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวกัน จึงสามารถสรุปได้ว่า ต่อไปก็จะต้องพบเหตุการณ์ คือ มีการเห็น ได้ยิน อันสมมติว่าเป็นการทำนา การทำเทคโนโลยี อีกแน่นอน แต่เป็นเหตุการณ์ใหม่ เรื่องใหม่ เพราะ สิ่งที่คล้ายกัน ตามความรู้สึก แต่ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกัน ครับ

ดังนั้น ยุคที่เจริญ ไม่ได้วัดกันที่ วัตถุ การสร้างสิ่งต่างๆ แต่ยุคที่เจริญ วัดที่จิตใจ ที่คุณธรรมในจิตใจ เพราะ ยุค ช่วงเวลาที่สัตว์โลกเจริญทางจิตใจ ก็ย่อมเป็นช่วงเวลาที่ดี ไม่ต้องทำไร่ ทำนา ไม่ต้องมีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก เพราะอาศัยจิตที่ดี ย่อมทำให้สามารถทำอะไรได้เอง แทนที่เทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยนัยตรงกันข้าม ยิ่งเทคโนโลยีเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงความสามารถของตัวมนุษย์เอง ยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะ ตัวมนุษย์เองไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ต้องอาศัย สิ่งภายนอก ด้วยเพราะว่า จิตใจของมนุษย์ต่ำ ด้วยอำนาจกิเลสที่มีมาก ความสามารถด้วยตนเองที่จะทำได้ มีการเหาะ เป็นต้น ก็ไม่สามารถทำได้ ก็ต้องอาศัยการประดิษฐ์คิดค้น เพื่อตอบสนองกิเลส ตัณหา ให้กับตนเอง เป็นสำคัญ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 1 ก.ค. 2555

จะเห็นนะครับว่า ที่กล่าวมาทั้งหมด แสดงความจริง ที่ว่า ทุกอย่างมีได้ ไม่ว่ายุคสมัยตามสมมติ ก็เพราะมีจิต เจตสิก รูป สภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งการเกิดอยู่ร่ำไปที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในเรื่องชาดก เพื่อเป็นเครื่องเตือนว่า สังสารวัฏฏ์ การเกิด ตาย ยาวนาน หาประมาณไม่ได้ นำมาซึ่งความทุกข์ประการต่างๆ

พระองค์ต้องอบรมปัญญามานับชาติไม่ถ้วน เพื่อเป็นไปเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ คือ กิเลส ชาดก เรื่องราวในพระไตรปิฎก จึงเป็นเครื่องเตือนให้พุทธบริษัท แสวงหา ที่พึ่งที่แท้จริงที่จะทำให้พ้นจากทุกข์จากการเกิด ตายไม่สิ้นสุด นั่นคือ การอบรมคุณความดี บารมี และ ปัญญา อันเป็นธรรมที่จะสละ ละกิเลสได้ในที่สุด ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด จะมีเทคโนโลยี จะเป็นยุคโบราณ ตามความเข้าใจของเรา แต่ ยุค ขณะ สมยะ สมัยที่ประเสรฺิฐ คือ ขณะที่ฟังพระธรม เข้าใจพระธรรม เพราะ เป็นขณะที่สะสมไปที่จะทำให้ดับทุกข์ได้ในอนาคต ครับ

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำไม่ว่ายุคสมัยใด คือ การอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม เป็นสำคัญ ซึ่ง ผู้มีปัญญา จึงอาศัย เทคโนโลยี ที่ตอบสนองตัณหา เป็นเครื่องมือ อบรมปัญญา มีการสนทนาธรรมในคอมพิวเตอร์ หรือ ฟังธรรมในเว็บ เป็นต้น ครับ

ขอนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 1 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่ว่า เป็นคนเกิด สัตว์เกิด นั้น ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ที่เกิดนั้น ก็คือ สภาพธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย นั่นเอง

บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหา (โลภะ) และ อวิชชา (ความไม่รู้) จึงต้องมีการเกิดการตายอยู่ร่ำไป

สังสารวัฏฏ์ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และกว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันนี้นั้น ในชาติที่ผ่านๆ มาก็เคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง ทั้งคนมั่งมี ยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนาน หาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ และเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดอย่างเด็ดขาด ขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ที่จุติจิตเกิดขึ้น เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้แล้วดับไป ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที เกิดทันทีในภพใหม่ชาติใหม่ เป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่ มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เกิดขึ้นเป็นไป สืบเนื่องต่อไปเป็นสังสารวัฏฏ์ที่ยืดยาวต่อไปอีก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่ได้แสนยาก เพราะจะต้องได้ด้วยผลของกุศล ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นผลของกุศลประเภทใด ขึ้นอยู่กับว่ากุศลประเภทใดจะให้ผล [ซึ่งต้องไม่ใช่ผลของฌานขั้นต่างๆ อย่างแน่นอน เพราะผลของฌานขั้นต่างๆ ทำให้เกิดในพรหมโลก ตามระดับขั้นของฌาน]

ถ้าเทียบกันระหว่างสุคติภูมิ กับ อบายภูมิแล้ว การไปเกิดในอบายภูมิ ไปได้ง่ายกว่าสุคติภูมิจริงๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเปรียบเทียบไว้ด้วยข้ออุปมา ฝุ่นที่ปลายพระนขา (เล็บ) ที่พระองค์ทรงช้อนขึ้นมา กับ ผืนแผ่นดิน ว่า ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อยเหมือนกับฝุ่นที่อยู่ปลายพระนขาของพระองค์ ส่วน ผู้ที่ไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ มีมาก เหมือนกับผืนแผ่นดิน ซึ่งควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็จะเป็นผู้ไม่รู้ต่อไป ไม่คุ้มค่าเลยกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งได้ยากแสนยาก แต่ไม่ได้สะสมปัญญา ก็จะทำให้ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ และจะไม่รู้อีกต่อไปนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะพ้นไปได้

การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ ได้สะสมความดี และ สะสมปัญญา ย่อมเป็นชีวิตที่คุ้มค่า คุ้มค่าแล้วกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะครบถ้วน [พร้อมที่จะรองรับพระธรรม] และได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระธรรมซึ่งหาฟังได้ยากเป็นอย่างยิ่งจากบุคคลผู้มีปัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ต่อไป

เวลาของแต่ละบุคคล เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ถ้าไม่เริ่มฟัง ไม่เริ่มศึกษาตั้งแต่ในขณะนี้ การที่จะฟัง การที่จะศึกษาในขณะต่อๆ ไป ก็จะมีไม่ได้, เริ่มต้นตั้งแต่ในขณะนี้ เป็นการดีอย่างยิ่ง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
edu
วันที่ 3 ก.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับผม ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peeraphon
วันที่ 4 ก.ค. 2555

เรียน อาจารย์ ผเดิม และ อาจารย์คำปั่นครับ

เข้าใจตรงที่ จิต เจตสิก และ รูป ซึ่งเป็นนามธรรม และ รูปธรรม ซึ่งเมื่อเกิดดับอยู่ร่ำไป ก็มีนามขันธ์ และ รูปขันธ์ ซึ่งทำให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สิ่งที่กระทบสัมผัส ซึ่งทำให้รู้ว่า ปัจจุบัน อดีต อนาคต.

แต่เมื่อได้อ่านแล้ว ก็ยังคงอดสงสัยไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้รู้ว่า ชมพูทวีป นี้ ก็จะถึงกาลที่สิ้นไป คือตอนที่มีพระอาทิตย์จากไหนไม่รู้โผล่ขึ้นมา ทุกสิ่งก็สิ้นไปอีก. ก็เลยคิดว่า เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งของทุกกัปแล้ว เมื่อทุกอย่างหายไปหมด แม้แต่ชั้นเทวดาอันดับต้นๆ ก็ไม่เหลือ เราก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งใช่มั้ยครับ เหมือนเริ่มต้นครั้งพุทธกาลอีกครั้งหนึ่ง

ผิดถูกอย่างไรรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เข้าใจ
วันที่ 5 ก.ค. 2555

อสงไขยแสนกัป มีได้ก็เพราะมีวันนี้มีขณะนี้ อสงไขยมีได้ก็เพราะขณะนี้จริงๆ ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ มนุษย์ คน สัตว์ เมื่อเคยเห็นกันมาในกาลก่อนก็ต้องกลับมาได้เห็นกันอีก และขึ้นชื่อมนุษย์ที่ว่าไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องและญาติทั้งหลายกันแก่กันนั้นไม่มี ล้วนแล้วเคยเกิดมีมาและมีความสัมพันธ์กันมาแล้วทั้งนั้น แต่ไม่สามารถจำกันได้เอง พระพทุธเจ้าทรงตรัสไว้ เคยได้ศึกษาเจอ แต่จำเนื้อความไม่ได้

กราบขอบพระคุณอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและสหายธรรมทุกๆ ท่านครับ

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ค่อยๆศึกษา
วันที่ 14 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณครับ ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ