ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๔๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕]
- สิ่งใดที่ไม่เคยคิดไว้ย่อมมีได้ ก็มี ทั้งที่เป็นกุศลวิบาก ผลของกุศล และที่เป็น อกุศลวิบาก ที่เป็นผลของอกุศล และสิ่งใดที่เคยคิดไว้ กลับเสื่อมสลายไป ก็มีสิ่งที่หวังไว้แน่นอน ก็กลับเสื่อมสลายไปตามเหตุ คือ กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว
- ถ้าเกิดความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในชีวิตประจำวันธรรมดา ยังไม่สำเร็จเป็นอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่ใช่เหตุที่จะทำให้เกิด วิบาก ต่อเมื่อใดสำเร็จเป็นอกุศลกรรมแล้ว ก็เป็นเหตุที่สมบูรณ์ที่จะทำให้วิบากเกิดขึ้น
- พระธรรมทั้งหมดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียด ก็เพื่อจุดประสงค์จะให้เห็นชัดเจนในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมแต่ละอย่าง
- ขณะใดที่มองเห็นบุคคลอื่นซึ่งมีความจำเป็นและควรที่จะได้รับวัตถุปัจจัย เป็นการช่วยเหลือเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลนั้น ในขณะที่มีการสละวัตถุ เพื่อประโยชน์ สุของบุคคลอื่น กุศลขั้นทาน ละความเห็นแก่ตัว โดยคิดถึงประโยชน์สุขของคนอื่น
- ถ้าเป็นผู้ที่สามารถจะเจริญกุศลได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะเหตุว่าชีวิตในแต่ละภพ แต่ละชาติก็สั้นมาก ก็ไม่ทราบว่า ชาติหน้าจะมาถึงเร็วหรือช้า เมื่อใด เกิดที่ไหน เป็นบุคคลใด มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม มีโอกาสที่จะได้เจริญกุศลอีก หรือไม่?
- เรื่องของอกุศลจิต ซึ่งมีมาก และวันหนึ่งๆ ที่กุศลจิตไม่เกิด วันนั้นรู้ตัวหรือเปล่า ว่า มืดมิดด้วยอวิชชาและด้วยอกุศล
- ผู้ที่เห็นอกุศลมากเท่าใด ตามความเป็นจริง ก็ยิ่งจะเป็นผู้ที่เพียรที่จะขัดเกลา กิเลส เพื่อที่จะดับอกุศลนั้นๆ
- ในชาติหนึ่งๆ ที่ทานกุศลไม่เกิด ไม่มีการเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ไม่มีกุศลจิตแม้ ขั้นทาน แล้วก็จะให้กิเลสดับ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
- ถ้าเป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ก็ทำให้สิ่งที่ไม่ดี ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ เป็นไปในทางที่ไม่ดี นี่คือ กำลังของธรรมที่ไม่ดี แต่ถ้าเป็นธรรมที่ดี แล้วจะไปทำให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น กำลังของทั้งสองอย่าง จึงต่างกัน กำลังของธรรมฝ่ายดีเท่านั้น ที่จะทำให้สิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์เกิดขึ้นเป็นไป เท่านั้น
- อกุศลมีจริง ก็ยังสามารถที่จะดับหมดสิ้นไปได้ ด้วยกำลังของสภาพธรรมที่เป็น กุศลซึ่งสามารถที่จะทำให้เป็นไป คือ ทำให้หมดกิเลสได้
- ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยว่างเว้นจากจิต มีจิตเกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา และ แม้ตายแล้ว ก็มีจิตเกิดดับสืบต่อเป็นภพชาติต่อๆ ไป ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส
- พระธรรมทั้งหมด เพื่อความเข้าใจธรรมว่า ไม่ใช่ตัวตน
- ฟังพระธรรม สูงสุดแล้วเพื่อจะไม่ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป
- เมื่อเข้าใจความเป็นจริงของอกุศลธรรม ก็จะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท
- ถ้าไม่เข้าใจ ปัญญาก็จะเจริญขึ้นไม่ได้
- การฟังพระธรรม สนทนาธรรม ก็เพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้น จากที่เคยเข้าใจ เพียงเล็กน้อย หรือ เข้าใจคลาดเคลื่อน ก็จะทำให้เข้าใจถูกต้อง ตรงยิ่งขึ้น
- เกิดมาจริงๆ ไม่ใช่เราเกิด แต่ธรรมเกิด เห็นจริงๆ ไม่ใช่เราที่เห็น แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็น (จิตเห็น)
- ศึกษาธรรม เป็นการศึกษาในสิ่งที่มีจริง ที่เคยมี แต่ไม่เคยรู้
- การเข้าใจธรรมผิด คลาดเคลื่อน จะนำไปสู่การปฏิบัติที่ผิด เป็นความเห็นผิด ที่คล้องไว้ มัดไว้ ไม่ให้ไปสู่ความเห็นที่ถูก
- ความเห็นถูกเท่านั้น ที่จะทำให้ค่อยๆ ละความเห็นผิด ละการปฏิบัติผิด ได้
- ขณะที่ได้ฟังพระธรรมเข้าใจ ขณะนั้นก็ผ่องใสที่ได้เข้าใจ จะต่างจากขณะที่ ไม่ได้ฟังพระธรรม ซึ่งหนักด้วยความไม่รู้ หนักด้วยโลภะ หนักด้วยโทสะ เป็นต้น
- เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีปัญญาเกิดขึ้น มีกำลังขึ้น โดยไม่มีการสะสมไปที ละเล็กทีละน้อย
- ในชีวิต ทำกิจอะไรมาเยอะแยะแล้ว ก็ไม่ควรลืมกิจที่ควรทำ คือ การอบรมเจริญปัญญา
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๔๔ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ
"ความเห็นถูกเท่านั้นที่จะทำให้ค่อยๆ ละความเห็นผิด ละการปฏิบัติผิดได้"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- เพราะฉะนั้น ที่กล่าวถึง "ช่องว่าง" ระหว่างบุคคลต่างๆ จะทราบได้ว่า เกิดจาก "อกุศลธรรม" ทั้งสิ้น ถ้าขัดเกลาอกุศลธรรม ออกไปได้ มากเท่าไรก็ลด "ช่องว่าง" ระหว่างบุคคล ออกไปได้ มากเท่านั้น เหตุคือ "การประจักษ์ในลักษณะ" ของสภาพ ธรรมที่ปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริง ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียง นามธรรม หรือ รูปธรรม เท่านั้นเป็นสภาพธรรม เสมอกันทั้งหมด ถึงแม้ว่าใครจะมี "อกุศลธรรม" มากเท่าไรก็ไม่ใช่ "เขา"แต่เป็นเพียง "อกุศลธรรม" เท่านั้นที่เป็นผล จากการสะสมอกุศลธรรมนั้นๆ มามากจนกระทั่ง ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจาแล้วปรากฏให้ทราบได้ เพราะฉะนั้น เมื่อ "สติ" ระลึกตรงลักษณะของสภาพ ธรรมต่างๆ มากขึ้นความเป็นเรา ความเป็นเขา ความเป็นใครๆ ก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงๆ เพราะทราบว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม เท่านั้น ช่องว่างที่ เคยมี ความไม่เสมอกัน ว่าเป็นเขา เป็นเรา ก็ค่อยๆ ลด น้อยลงๆ เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุนี้ด้วยความเข้าใจอย่างนี้จึงเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ขณะที่ กำลังคิดถึงบุคคลอื่นหรือขณะที่แสดงออก ต่อบุคคลอื่นทั้งทางกาย ทางวาจาก็ย่อม เป็นไป ด้วยความเมตตาเพราะ กุศลธรรม ขัดเกลา อกุศลธรรม ให้เบาบางลง
- ความคิด ไม่มีรูปร่างเลย แต่เป็นธาตุที่รู้คำคิดเมื่อไร ก็รู้คำเมื่อนั้น ขณะที่คิดเรื่อง ยาวๆ นี้นะคะ คิดทีละคำ รู้ทีละคำจิตคิดเกิดขึ้น รู้คำทีละคำ แสดงว่า สภาพจิตเกิด แล้วดับคิดคำหนึ่ง แล้วดับ แล้วก็ คิดอีกคำหนึ่ง เกิดดับสืบต่อกัน อย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่คิด คือจิตเกิดขึ้น นึกถึงเรื่องราวแต่ก่อนที่จะเป็นเรื่องยาวๆ ก็ต้องเป็นคำทีละ คำๆ เพราะฉะนั้น ก็เป็นความรวดเร็วที่ปิดบังไม่ให้รู้ การเกิดดับของจิตว่า แท้จริง แล้วเรื่องยาวๆ นี้ ก็เกิดเพราะจิตเกิดขึ้นคิด ทีละคำ
- สาวกในครั้งนั้น เมื่อฟังพระสัทธรรมแล้วก็อยู่ โดยอาศัย พระผู้มีพระภาคหมายถึง การมีชีวิตอยู่ ด้วยการฟังพระธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะฉะนั้น สาวกของพระผู้มีพระภาค ในสมัยนี้มีชีวิตอยู่ โดยอาศัย พระผู้มี พระภาค หรือเปล่า ถ้าเป็นชีวิตที่อยู่โดยอาศัย พระผู้มีพระภาคย่อมศึกษาพระ ธรรมและประพฤติปฏิบัติธรรมโดยเป็นผู้ที่เข้าใจ ในพระสัทธรรมที่พระองค์ทรงแสดงว่าเป็นเรื่องของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วระลึก ศึกษา เพื่อรู้ชัดในสภาพธรรมตามที่ พระผู้มีพระภาค ทรง แสดง เพราะฉะนั้น สาวกที่มีชีวิตอยู่โดยอาศัยพระผู้มีพระภาคย่อมไม่ขาดการฟังพระ สัทธรรม การสนทนาธรรม
- ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ยังมีการใช้อำนาจ ใช้วาจาที่รุนแรง กระทบกระทั่ง เสียดสี เพราะว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครถ้าจะถามทุกคนว่า ชอบคนอย่างไหน ก็จะต้องตอบว่า ชอบคนที่อ่อนหวาน นุ่มนวลมีเมตตา มีกายวาจาที่ดีงามแต่ว่า ตัวเองเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คือ แทนที่จะดู
- บุคคลอื่น ก็ลองสำรวจตัวเองว่า เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ชอบอย่างหนึ่ง แต่ทำอีก อย่างหนึ่งก็ได้เพราะเหตุใด เพราะไม่สามารถจะเป็นอย่างที่ชอบได้ทุกคน อยาก เป็นอย่างดีที่สุดแต่ว่า การสะสมมาทุกๆ ชาติในสังสารวัฏฏ์ จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ จึงทำให้มีความคิดอย่างนี้มีกาย วาจาอย่างนี้ตามที่ได้สะสมมา ที่จะเป็นอย่างนี้.ฉะนั้น จึงควรรู้สึกตัวว่า ขณะใดที่เป็นอกุศล ขณะที่กายอย่างใด วาจาอย่างใด ไม่ดี และไม่ใช่เพียงรู้ตัวเท่านั้น แต่ควรมีหิริ โอตตัปปะ รู้ถึงโทษ ภัย ของอกุศลนั้นๆ ที่เกิด ขึ้น และปรากฏทางกาย ทางวาจาเมื่อมีหิริ โอตตัปปะย่อมคิดที่จะพยายามขัดเกลา อกุศล ทางกาย ทางวาจา การพิจารณาแก้ไขตัวเองนั้น เป็นการแก้สังคม เพราะถ้า สังคม จะแก้สังคมโดยคนในสังคม พยายามจะแก้คนอื่นอย่างนั้น ก็แก้ไม่สำเร็จต่อ เมื่อใดที่แต่ละคน ซึ่งรวมกันเป็นสังคม เริ่มแก้ที่ตัวเองก่อนเมื่อนั้น จึงจะแก้สังคมได้ สำเร็จ ฉะนั้น ทุกคนที่คิดจะแก้ไขคนอื่นก็ขอให้พิจารณาตนเอง แล้วแก้ไขตนเอง เมื่อแต่ละคนแก้ไขตนเองแล้วคนอื่นที่เห็นผล เห็นประโยชน์ ก็อาจจะพยายามที่จะ แก้ไขตัวเขาเองบ้างแต่ถ้าคิดเพียงแต่จะแก้ไขคนอื่น โดยไม่แก้ไขที่ตนเองก็ไม่มีทาง ที่จะสำเร็จ
ขออนุโมทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสััมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"การชนะความไม่ดี ด้วยความดี" ก็คือในขณะนั้นเป็นกุศลของเราเองที่เจริญอบรมขึ้นเพื่อที่จะชนะความไม่ดีที่มีอยู่ในตัวเราเอง ไม่ใช่ไปชนะบุคคลอื่น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสััมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยค่ะ
รู้ชัด คือ เข้าใจจริงๆ ตรงตามความเป็นจริงในขณะนั้น เมื่อฟังธรรม ก็ควรสอบทานความเข้าใจว่า ฟังแล้ว มีความเข้าใจขึ้นๆ ตรงตาม "คำจริง" ที่ได้ยินได้ฟังบ้างหรือยัง (ไม่ใช่เพียงแต่ฟัง แล้วก็ผ่านไป)
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น อ.ผเดิม และทุกท่านด้วยค่ะ
ขัดเกลาอกุศลธรรมด้วยสติที่ระลึกรู้ในสภาพธรรมความเป็นจริง จะค่อยๆ ลด"ช่องว่าง" ระหว่างความเป็นบุคคลออกไปได้ ค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นแต่รูปธรรมนามธรรมเสมอกันหมด ทำให้มีกาย วาจา ใจ ด้วยเมตตา เพราะกุศลกรรม ขัดเกลา อกุศลกรรม ให้เบาบางลง
ลึกซึ้งมาก
ขออนุโมทนาค่ะ