มีทุกข์ กับสิ่งไม่ควรนับจริงๆ ค่ะ

 
chaweewanksyt
วันที่  2 ก.ค. 2555
หมายเลข  21332
อ่าน  1,139

วันนี้คนที่บ้านถามเรื่องพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วกี่ชาติ.

เราได้ตอบว่า สี่อสงไขย แสนกัปป์ แต่ ... ที่ทุกข์ เพราะตอบคำถาม ... หนึ่งอสงไขยเท่ากับเลขหนึ่งหนึ่งตัวแล้วมีเลขศูนย์สิบสี่ตัว เพราะจำมาเช่นนี้ แล้วเกิดไม่แน่ใจ. ก็เข้ามาหาในนี้ค่ะ ... แต่หาเจอเป็นเลขศูนย์ร้อยสี่สิบตัว ... ก็เป็นทุกข์เสียแล้วค่ะ ...

ขอขอบคุณผู้ให้ความกระจ่างล่วงหน้านะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คิดมีจริง เรื่องที่คิดไม่มีจริง ทุกข์มีจริง เรื่องราวที่ทุกข์ไม่มีจริง ความทุกข์มีได้ เพราะอาศัยกิเลส และ อาศัยการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก เพราะฉะนั้น แสดงถึงความเป็นธรรมดาที่จะต้องทุกข์ เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม เพราะ อาศัย ความติดข้อง ยินดี พอใจ จึงเกิดความทุกข์ใจที่เป็นความไม่สบายใจ ขุ่นเคืองใจ เป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้น ความทุกข์ใจเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ควรนับ ไม่ควรนับ เพราะ อกุศลจิตที่เป็นโทสะ สามารถมีอารมณ์ เป็นเรื่องราวที่เป็นบัญญัติได้เป็นธรรมดา ครับ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสิ่งที่ควรนับ ไม่ควรนับ ที่บัญญัติว่า เป็น อสงไขย เลขศูนย์กี่ตัว ก็ไม่พ้นจากบัญญัติเรื่องราว ที่มีได้ เพราะ มีสิ่งที่มีจริง คือ ความคิดนึกที่เป็นจิต ครับ

ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ตอบผิด หรือ ตอบถูก ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือ ขณะที่เกิดสภาพธรรกำลังปรากฏ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีหรือไม่ แม้ยังไม่ได้ประจักษ์ แต่เข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรม และ เป็นธรรมดา อกุศลเกิดขึ้นเป็นธรรม ความทุกข์เกิดขึ้นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นธรรมและเป็นธรรมดาที่จะต้องเกิด ความเข้าใจนี้ที่ประเสริฐ เพราะจะทำให้ละคลายกิเลส ละคลายความเห็นผิดว่ายึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคลได้

กลับมาสู่ความเข้าใจขณะนี้ เป็นสำคัญ หากตอบถูก ตอบตรง แต่หลงลืม กลับ ตอบผิดแล้วกลับมาคิดถูก ในขั้นการฟังว่า กิเลสเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเป็นธรรมไม่ใช่เรา แม้ขั้นคิดพิจารณา จะเป็นประโยชน์กับตนเอง ที่ตั้งอยู่ในกุศลธรรมที่ประกอบด้วยความเข้าใจถูก เป็นสำคัญ เพราะคงไม่มีอะไรที่จะสำคัญเท่ากับประโยชน์ของตน คือ ความเข้าใจถูกที่เกิดขึ้น ครับ

การหลงลืมในเรื่องราว เป็นธรรมดา แม้แต่พระอรหันต์ ท่านก็ไม่ได้รู้ในสมมติเรื่องราวทุกเรื่อง แต่ ท่านเหล่านั้น รู้ความจริงที่เป็นปรมัตถ์ ที่เป็น ความจริงว่า จิต เจตสิก รูป และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ ไม่หลงลืมในลักษณะของสภาพธรรม ครับ

ทุกข์มีจริงเกิดแล้ว แสดงถึงกิเลสที่มีอยู่ และแสดงถึงความเป็นอนัตตา และ กลับมาสู่ความเข้าใจใหม่ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา แล้วประโยชน์ที่ได้ คือ อบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรมต่อไป ทุกข์เมื่อไหร่ เกิดขึ้น ก็รู้ว่าเป็นธรรมดา

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้ผู้ฟังได้พิจารณาไตร่ตรอง เป็นความเข้าใจของผู้ฟังเอง ขอเพียงเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรม ซึ่งก็หมายถึงสิ่งที่มีจริงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เป็นธรรม เพราะในการฟังการศึกษาพระธรรม นั้น เป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีในขณะนี้จริงๆ ซึ่งตัวสภาพธรรมจริงๆ นั้น มีลักษณะเฉพาะของตนๆ มีจริงในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย และสามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้

สิ่งสำคัญ คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ นี้แหละคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ไม่ว่าสภาพธรรมใดปรากฏก็สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ แม้ในขณะที่คิด ก็เป็นธรรม ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาให้คิด หรือไม่ให้คิดได้ ธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ แต่ถ้าจะเข้าใจว่า อสงไขย ก็คือ ระยะเวลาที่ยาวนานมาก ก็คงจะทำให้คลายความกังวลในเรื่องนี้ได้ ขอให้มีความมั่นคงที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรม ด้วยความละเอียด รอบคอบต่อไป นะครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Lamphun
วันที่ 3 ก.ค. 2555

ที่มักจะหลงลืมไปเสมอก็คือ ความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ ความหวั่นใหว ก็เกิดขึ้นแค่ชั่วคราว แต่เวลาเกิดขึ้นทีไร ก็เหมือนจะยาวนาน และจะอยู่กับเราตลอดไป

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 3 ก.ค. 2555

แท้จริงแล้ว สภาพธรรมปรากฏให้เข้าใจ ให้ศึกษาว่าขณะที่คิดถึงตัวเลขนั้น สภาพจิตเป็นอย่างไร ... และเพราะความไม่รู้ จึงยังคงมีความเป็นตัวตน ว่าเป็นเรา จึงอาจรู้สึกถึงความยาวนาน และเกิดอาการท้อแท้ว่า พระองค์ต้องเกิดมาและบำเพ็ญบารมีมากมายและยาวนานขนาดนี้หรือ ...

ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครเลย มีแต่เพียงสภาพธรรม (จิต เจตสิก รูป) ที่เกิดขึ้น (มีหลากหลายประเภท ทั้งดี, ทั้งไม่ดี และกลางๆ ) ทำหน้าที่ของตนๆ แล้วดับไปอย่างรวดเร็ว ตามเหตุ ตามปัจจัย และก็เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย จากบุคคลนั้นไปเป็นบุคคลนี้ แม้แต่เป็นไปในภพภูมิอื่นๆ จนนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งมีธรรมฝ่ายดีที่เจริญพร้อมสมบูรณ์ ดับเหตุทั้งหลายได้ จึงจะสิ้นสุดการเกิดอีกได้ในชาติต่อไป

และธรรมฝ่ายดีที่จะสามารถดับกิเลสได้ ก็คือ ความรู้ ความเข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งต้องอาศัยการอบรมความรู้ จนเจริญขึ้นๆ ซึ่งต้องอาศัยการฟังพระธรรม (คำจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และกล่าวไว้อย่างดีแล้ว) บ่อยๆ เนืองๆ ไตร่ตรองและพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ

เพราะพระธรรมนั้น ละเอียด ลึกซึ่งมาก เพื่อสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปเรื่อยๆ จนกว่าวันนั้นจะมาถึง ค่ะ ถ้าไม่เริ่มที่จะสนใจ และใส่ใจ กับความจริง สิ่งที่ปรากฏตั้งแต่ในขณะนี้ เส้นทางนั้นจะยาวนานไปอีกสักเท่าใด ...

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.ผเดิม, อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chaweewanksyt
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่มีอะไรเที่ยง เป็นความคิด เกิดแล้วดับ หาสาระไม่เจอ ไม่มีความหมาย เกิดมาแล้วก็หนีทุกข์ไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ใจ หรือ ทุกข์กาย สำคัญตรงที่ปัญญาเกิดรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นอบรมปัญญาและทำความดีดีที่สุด ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ผู้ที่เป็นทุกข์" มี "และผู้ที่ดับทุกข์แล้ว" ก็มี

"ผู้ที่จะดับทุกข์ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาแล้วเท่านั้น ถึงจะดับทุกข์ได้"

"การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้

แล้วน้อมปฏิบัติตามพระธรรม ตามกำลังสติปัญญาของตนเอง

ย่อมจะเป็นหนทางที่ทำให้พบกับความสุขที่แท้จริงได้

สามารถทำให้พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงได้ในที่สุด"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ