เห็นแล้วคิดได้ฉันใด เห็นแล้วสติก็ระลึกได้ฉันนั้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจาการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขณะที่มีสติ ต้องต่างกับขณะที่หลงลืมสติแน่นอน ซึ่งความจริงไม่ใช่อาการผิดปกติใดๆ เลย เพราะเหตุว่า ตามปกติ ทุกคนเห็นแล้วคิด หรือขณะที่ได้ยิน ทุกคนก็ได้ยิน แล้วคิด ขณะที่กำลังอ่านหนังสือก็คิดด้วย เพราะฉะนั้น แทนที่จะเพียงเห็นแล้วคิด ก็เป็นเห็นแล้วรู้ว่า ลักษณะที่เห็นแล้วคิด ก็เป็นเห็นแล้วรู้ว่าลักษณะที่เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ จึงเป็นปกติในชีวิตประจำวัน คือแทนที่จะคิดเรื่องอื่นด้วยความหลงลืมสติ
ทำไมเห็นแล้วคิดได้เป็นของธรรมดา แต่ทำไมเห็นแล้วสติจะระลึกไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วคิดได้ฉันใด เห็นแล้วสติก็ระลึกได้ ฉันนั้น ไม่ต่างกันเลย ถ้าอบรมเจริญสติปัฏฐานทีละเล็กทีละน้อยบ่อยๆ เนืองๆ จนเป็นอุปนิสสัย เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นแล้ว ก็ได้ฟังเรื่องการเห็น จะเกื้อกูลให้สติเกิดระลึกทันที ที่ลักษณะของนามธรรมที่เห็น หรือลักษณะของรูปธรรมที่ปรากฏได้ ในเมื่อเป็นผู้ที่เคยอบรม เจริญอินทรีย์ ๕ มาแล้ว เพราะเหตุว่า อย่าลืมว่า เห็นแล้ว คิดเรื่องอื่นได้ เพราะฉะนั้น เห็นแล้วสติก็ระลึกที่ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ พร้อมทั้งปัญญาที่ได้อบรมเจริญพอแล้ว มากแล้ว ก็จะทำให้ประจักษ์แล้วในความเกิดดับของนามธรรม และ รูปธรรม ตามความปกติ ตามความเป็นจริงได้ ไม่ผิดปกติและไม่ผิดความเป็นจริงเลย ถ้าไม่ใช่เป็นโดยลักษณะนี้ ไม่สามารถที่จะดับความยินดีพอใจ และยึดถือนามธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้
เพราะฉะนั้น ก็ดูเหมือนไม่น่าสงสัยเลยในเรื่องลักษณะของสติ แทนที่เห็นแล้วจะคิดเรื่องอื่น แทนที่กระทบสัมผัสแข็งแล้ว ก็จะคิดเรื่องอื่น ก็ศึกษาลักษณะที่กำลังรู้แข็ง หรือลักษณะแข็งที่กำลังปรากฏเท่านั้น
แต่เวลาที่สติปัฏฐานยังไม่ได้อบรมมาเพียงพอ ความเคยชินต่อการที่จะนึกคิดเรื่องอื่นทันทีด้วย โลภะ หรือ โทสะ เป็นเรื่องราวต่างๆ จะเห็นว่ามีมากเหลือเกินในวันหนึ่งๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าสามารถจะเกิดแทนการคิดนึกเรื่องอื่นได้ แต่เวลาที่สติปัฏฐานยังไม่ได้เจริญพอที่จะเห็นได้ว่า สติเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แล้วก็คิดเรื่องอื่นเหมือนเดิมต่อไปทันที เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยกาลเวลาที่นานกว่าที่ เปลี่ยนอุปนิสสัย จากความเป็นปุถุชนสู่ความ เป็นอุปนิสสัย ของพระอริยบุคคลได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะนี้เห็น เห็นแล้วก็ เป็นอกุศลโดยส่วนมากโดยไม่รู้ตัว ยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น หรือไม่ชอบในสิ่งที่เห็น แม้ยังไม่เห็น เป้นสัตว์ บุคคล ก็เป็นอกุศลโดยส่วนมาก แต่ สำหรับการเจริญอบรมปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน ก็เป็นการเจริญอบรมปัญญา เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ปกติอกุลเกิดต่อจากเห็น ได้ยิน เมื่อเป็นผู้อบรมปัญญาขั้นการฟัง จนมีกำลังกุศลก็สามารถเกิดแทรก หลังจากเห็นแล้ว เกิดปัญญาและสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นขณะที่เห็น เช่น เห็น สี สติและปัญญาก็เกิด ระลึกรู้ ลักษณะของสีว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือ อรรถ ของการเจริญอบรมปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน แทนที่เห็นแล้วคิด เป็นอกุศล ก็เห็นแล้ว ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะที่เห็นแทนได้ แต่ต้องอาศัยระยะเวลาการอบรมปัญญาขั้นการฟังอย่างยาวนาน ครับ
ขออนุโมทนา กับ คุณหมอและทุกท่าน ครับ
"แทนที่จะเพียงเห็นแล้วคิด ก็เป็นเห็นแล้วรู้ลักษณะที่เห็นแล้วคิด ก็เป็นเห็นแล้วรู้ว่าลักษณะที่เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ จึงเป็นปกติในชีวิตประจำวัน"
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอ, อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านด้วยครับ
เมื่อเห็นแล้วคิดได้ฉันใด เห็นแล้วสติก็ระลึกได้ฉันนั้น ไม่ต่างกันเลย ถ้าอบรมเจริญสติปัฏฐานทีละเล็กทีละน้อยบ่อยๆ เนืองๆ จนเป็นอุปนิสสัย เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นแล้ว ก็ได้ฟังเรื่องการเห็นจะเกื้อกูลให้สติเกิดระลึกทันที
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผเดิม, คุณผู้ร่วมเดินทาง และ ทุกท่านครับ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
ได้ศึกษาพระธรรม คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง แต่ละหนึ่งที่ละเอียด ไม่ซ้ำกันเลย และเกิดดับแสนสั้น จากการถ่ายทอดโดยมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนา มีประโยชน์ที่สุดอย่างยิ่งในชาตินี้ที่เกิดมา และต้องศึกษาต่อไป เพราะความจริงรู้ได้แสนยาก ความมั่นคงของความเข้าใจจากการฟังพระธรรมขั้นปริยัติเท่านั้นจะเป็นปัจจัยในกำลังของสติ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบของพระคุณอาจารย์วิทยากร และ สหายธรรมทุกท่านด้วยความเคารพและยินดีในกุศลค่ะ