สร้างบรรยากาศ
ถ้าเรามีญาติป่วยอาการหนักใกล้ตาย รักษาตัวอยู่ในบ้าน แล้วเราหาภาพที่สวยงาม มี วิมานนางฟ้า เหล่าเทวดามาติดตามฝาผนังห้องหรือเปิดเพลงดนตรี เสียงสวดมนต์เย็นเบาๆ จะช่วยน้อมจิตของเขาให้ไปสวรรค์ได้หรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไป ก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป จึงบัญญัติว่า เป็นสัตว์ สิ่งมีชีวิต แต่ สัจจะความจริงของจิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ที่สำคัญที่สุด ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ คือ ไม่สามารถบังคับให้จิต เจตสิก เกิดขึ้น เป็นไป ตามใจของใครได้เลย แม้จิตที่เป็นกุศล อกุศลจิตจะเกิดขึ้น ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งเหตุปัจจัยประการหนึ่งที่สำคัญมาก ที่จะทำให้เป็นกุศล อกุศลจิต แตกต่างกันไป ก็คือ การสะสมมา ที่เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยของบุคคลนั้นว่าสะสมความเห็นถูกความเห็นผิดมา สะสมการสนใจธรรม หรือ ไม่ได้สะสมมา เป็นต้น เมื่อมีเหตุปัจจัย เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัผมัส ในสิ่งใด ที่เป็นรูปร่างสัณฐานที่เคยเห็นลักษณะอย่างนั้นแล้วเป็นกุศล อกุศล ก็เกิด กุศล อกุศล ตามที่เคยสะสมมา ไม่มีใครบังคับได้เลย อย่างเช่น คนที่เคยฟังธรรม ความเข้าใจมาในอดีต เมื่อได้ยินพระธรรมที่ตนเองเคยได้ฟัง เคยเข้าใจ ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดกุศลจิตทุกครั้งไป ครับ
และ ส่วนผู้ที่ไม่ได้สะสมการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมาเลย แต่เป็นผู้มีความเห็นผิด เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็อาจเกิดอกุศลได้ง่ายกว่าก็ได้ เพราะ ไม่เข้าใจและไม่อยากฟัง หรือ อาจจะเกิดกุศลก็ได้ ก็ตามเหตุปัจจัย
อย่างในกรณีของคนใกล้ตายก็เช่นกัน สัตว์โลกก็แล้วแต่ว่าสะสมอะไรมา แตกต่างกันไป กุศล อกุศล ก็เกิดแตกต่างกันไปตามการสะสม ภาพบางอย่าง คำพูดบางอย่าง ที่เกี่ยวกับธรรม กลับเป็นคำพูดที่ชั่วของคนที่ทุศีล ทำแต่บาปกรรม เพราะ เมื่อได้ฟัง ย่อมเดือดร้อนใจ ไม่อยากฟัง เกิดอกุศลได้ แต่ คำพูดที่เป็นธรรม กับอีกคนที่สะสมฝ่ายดี ความเข้าใจมา ก็ย่อมทำให้เกิดกุศลจิตได้ นี่แสดงถึงการสะสมมาแตกต่างกัน ทำให้เกิดกุศล อกุศล ได้แตกต่างกันไป
การสร้างบรรยากาศ คือ ให้ติดรูปเทวดา นางฟ้า เปิดเสียงสวดมนต์ แต่หากคนนั้น ไม่ได้เข้าใจธรรม ก็ย่อมเข้าใจผิดในสิ่งที่เห็น เพราะ ไม่เข้าใจว่าเทวดา นางฟ้าเป็นอย่างไร มีเหตุมาจากอะไร คือ กรรมดี ไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง เสียงสวดมนต์ เป็นต้น เพราะ ไม่รู้ความหมาย ด้วยเพราะไม่เข้าใจพระธรรม ดังนั้น สิ่งที่จะน้อมจิตของตน หรือของใคร สำคัญที่ความเข้าใจของบุคคลนั้นเป็นสำคัญ
ดังนั้น แทนที่จะสร้างบรรยากาศ ก็ควรสร้างความเข้าใจพระธรรม ด้วยการเปิดให้ฟังธรรม ตามภาษาที่ตนเข้าใจ จะเป็นประโยชน์กว่า เพราะ ความเข้าใจพระธรรมนี้เองที่เกิดขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่สะสมแล้วต่อไปในชาติหน้าเป็นอุปนิสัยที่จะบรรลุได้ และ ปัญญาที่เกิด แม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นที่พึ่งและเป็นปัจจัยให้จิตน้อมไปในทางกุศลในขณะนั้น เพราะมีความเข้าใจ เมื่อเห็นรูปพระพุทธเจ้า เป็นต้น ก็จะทำให้เกิดกุศลจิตได้ ครับ
ดังนั้น การฟังพระธรรม มีประโยชน์ ไม่มากก็น้อย สำหรับผู้ที่สะสมอุปนิสัยมา และ เราก็ไม่รู้ว่าเขาได้สะสมอะไรมาบ้าง อย่างน้อยก็ให้เขาได้ยิน เพราะว่า ไม่ว่าคนนั้นจะดี หรือ ชั่วมากอย่างไร แม้จะทำชั่วมาก โดยมากก็ไปอบาย แต่อย่างน้อย หู ก็ต้องได้ยินพระธรรมบ้าง ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสะสมมาบ้าง ก็จะเป็นประโยชน์ในชีวิตก่อนตาย
ประโยชน์ที่สำคัญ ไม่ใช่อยู่ที่จะไปอบาย หรือ สวรรค์ ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด คือ การที่ได้ฟังแล้วเกิดปัญญา ความเข้าใจ แม้เพียงเล็กน้อย แต่ ความเข้าใจที่เป็นเบื้องต้น จุดเริ่มนี้เอง ที่จะทำให้ดับกิเลสในอนาคต
เพราะฉะนั้น แม้จะเกิดในอบายในชาติต่อไป แต่ก่อนนั้นได้เข้าใจพระธรรมเล็กน้อย ก็ทำให้ชาติอื่นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็มีโอกาสสะสมปัญญาต่อไปได้ แต่ แม้บุคคลที่ไม่ได้ฟังพระธรรม แต่ก็เกิดในสวรรค์ได้ เพราะ กุศลขั้นทาน ศีล แต่เมื่อไม่ได้สะสมความเข้าใจพระธรรม ก็ทำให้เกิดตาย อยู่ร่ำไป ไม่มีที่สิ้นสุด ครับ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก่อนท่านสิ้นชีวิต ก็ให้คนไปนิมนต์ท่านพระสารีบุตร พระอานนท์ มาแสดงธรรม ธรรมมิกอุบาสก ก่อนสิ้นชีวิต ก็นิมนต์พระภิกษุให้แสดงธรรม นี่คือตัวอย่างของผู้ที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม ที่ชีวิตกำลังสิ้นไป ส่วนผู้ที่ใกล้ตาย ซึ่งไม่รู้ว่าเขาสะสมอะไร ก็ควรให้เขาได้ยินพระธรรม สามารถเปิดให้เขาฟัง ไม่ต้องดัง แทนที่จะฟังเสียงสวดมนต์ หรือ สร้างบรรยากาศ มีรูปภาพอื่นๆ ครับ เพราะความเข้าใจพระธรรม ขณะนั้น ประเสริฐกว่าบรรยากาศที่สำคัญว่าดีทั้งหมด เพราะ ความข้าใจพระธรรมเพียงเล็กน้อย ย่อมเป็นที่พึ่งต่อไปในอนาคต ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาให้ธรรมใดๆ เกิดขึ้นได้เลย ธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่กุศลจิตจะเกิด ก็ต้องมีเหตุปัจจัย จึงไม่ควรที่จะประมาทในชีวิตจริงๆ ถ้าไม่เพิ่มพูนกุศล เป็นผู้ประมาทอยู่เนืองๆ ก็ยากที่จะมีเหตุปัจจัยให้กุศลเกิดขึ้นเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีที่สุดแล้ว คือเจริญกุศล, ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ แม้ในขณะที่ก่อนตายก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าจิตจะเป็นกุศลก่อนตาย หรือ เป็นอกุศลก่อนตาย ไม่สามารถที่จะทราบได้เลยจริงๆ และ ไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งสิ้น
ควรอย่างยิ่งที่จะเกื้อกูลกันและกันให้ดีที่สุด และ ไม่ควรจะไปเจาะจงเฉพาะเวลาที่ผู้นั้นนอนป่วยแล้วเท่านั้นจึงจะหาธรรมไปให้ฟัง มีโอกาสเมื่อใด ก็ควรที่จะเกื้อกูลเมื่อนั้นตามสมควร เพราะถ้าเราไม่แนะนำให้ฟัง ไม่เปิดให้ฟัง ไม่แนะนำให้อ่านพระธรรม เขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้อ่าน ได้ฟังเลย เพราะฉะนั้น ก็สำคัญทุกโอกาส เท่าที่เกื้อกูลได้ ครับ .
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
คิดว่า เราควรจะปฏิบัติกับผู้ป่วยที่ใกล้จะตายนั้น คือ ทำให้เขามีความรู้สึกสบายใจให้มากที่สุด และเราเห็นคนที่ใกล้ตายแล้ว มาย้อนดูตัวเราว่า สักวันหนึ่งตัวเราก็จะต้องเป็นอย่างนั้น
ดังนั้น ก่อนที่เราจะต้องตาย ก็ควรจะทำอะไรที่เราอยากจะทำโดยไม่ทำให้ตัวเราและผู้อื่นต้องเดือดร้อน และสร้างบุญ สร้างกุศลให้มากที่สุด