นักวิทยาศาสตร์บางคนวิเคราะห์ว่าอาจจะเกิดวินาศภัย 12/21/12

 
พรรณี
วันที่  7 ก.ค. 2555
หมายเลข  21365
อ่าน  1,578

ใคร่ขอทราบว่าในครั้งพุทธกาล มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นบ้างหรือไม่คะ และควรปฏิบัติตัวหรือเตรียมตัวอย่างไร หรือไม่ควรสนใจกับข่าวสารเช่นนี้และวิตกมากเกินไป ควรจะปล่อยให้เป็นความเห็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลหรือไม่

ขอทราบความคิดเห็นจากบ้านธรรมะด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อยังเป็นปุถุชน เต็มไปด้วยความมรู้และกิเลส ย่อมไม่มีปัญญา หยั่งรู้ในอดีต และ อนาคตตามความเป็นจริงได้เลย เพราะ ไม่ได้อบรมปัญญามา เพราะฉะนั้น ก็เป็นเพียงความคิดนึก ตรึกกันไป ตามการสะสม ด้วยความไม่รู้และด้วยอำนาจของกิเลสที่ทำให้คิด ตรึกเป็นไปอย่างนั้น

สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิตกเป็นเท้าของโลก คือ วิตก ความตรึก นึกคิด ก็เป็นเหมือนเท้า ของโลก ที่ทำให้ คิดวนเวียนไปในเรื่องต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่ได้รู้เหตุและผลของความเป็นจริงของสภาพธรรม ครับ

ดังนั้น เมื่อ เป็นเรื่องของความคิดนึกด้วยกิเลส ด้วยความไม่รู้ เมื่อเป็นสิ่งที่ไม่จริง เพราะ เป็นกิเลส กิเลส อกุศล ความไม่รู้ จะนำมาซึ่งสิ่งที่จริง ถูกต้องไม่ได้เลย เมื่อเป็นอกุศล ความไม่รู้ก็ไม่ควรจะใส่ใจ สนใจ เพราะ ขณะที่เชื่อ สนใจ ก็กลายเป็นความไม่รู้ ซ้อน ความไม่รู้ เพราะ เชื่อยึดถือในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุ เป็นผลตามความเป็นจริง ครับ

ซึ่งในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงไว้ในชาดก ที่กล่าวถึง เรื่องที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล แต่ก็เชื่อตามๆ กันมา เช่น กระต่ายตัวหนึ่ง เป็นสัตว์ขี้กลัว ลูกตาล หล่นใส่ ไม่รู้ว่าเป็นลูกของต้นตาล สำคัญด้วยความกลัวว่า แผ่นดินถล่ม จึงวิ่ง ไม่มองสิ่งที่ตกลงมาเลย สัตว์อื่นๆ เห็นมันวิ่ง ก็ตกใจ ถามว่ากระต่ายว่าเกิดอะไรขึ้น กระต่ายวิ่งต่อไป กล่าวว่าแผ่นดินกำลังจะถล่ม สัตว์อื่นๆ ก็เลยเชื่อและวิ่งตาม เพราะ ไม่ไตร่ตรอง จนสัตว์นับประมาณไม่ได้ วิ่งตามกันเกือบหมด พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์มีปัญญา เห็นสัตว์วิ่งกันมามาก สำคัญว่า ถ้าเราไม่ช่วย สัตว์เหล่านี้ คงวิ่งตกทะเล ตายทั้งหมด จึงตะโกนเสียงดัง และเข้าไปห้าม และ สอบความจริง จึงรู้ว่าเป็นเพียงลูกตาล ไม่ใช่แผ่นดินถล่ม

จากชาดก ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนในสมัยพุทธกาล แสดงให้เห็นว่า ไม่ควรเชื่อตามๆ กันมา ไม่ควรเชื่อ แม้คนนั้นจะเป็นอาจารย์ของเรา แต่เมื่อใดรู้ด้วยตนเอง ด้วยปัญญา จึงเชื่อ ครับ

ซึ่งในความเป็นจริง กัปจะพินาศ หมดสิ้นไป ทำลายทั้งจักรวาล คือ เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรย์อุบัติขึ้นและปรินิพพานลง และอีกนับปีไม่ได้ กับ โลกและจักรวาลทั้งหมด จึงทำลายลงไป ครับ ซึ่ง นับจากนี้ ก็อีกนานนับปีไม่ได้เลย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 8 ก.ค. 2555

ดังนั้น ไม่ได้สำคัญว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรในอนาคต ขณะนี้ สำคัญที่สุด ชีวิตที่เหลืออยู่ ก็เป็นผู้มั่นคงในเหตุผล ในหลักธรรม เพราะชีวิตของสัตว์โลกแต่ละคนไม่แน่นอนเลย ไม่ต้องรอให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรง แต่ละคน แต่ละชีวิต ก็ทอดทิ้งร่างกายตายไปในอดีตที่ผ่านมา

และขณะนี้ก็มีคน สัตว์ ตายนับไม่ถ้วน และ ขณะต่อไป ไม่ต้องรอถึงภัยพิบัติใหญ่ ก็จะตายด้วยเหตุต่างๆ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นภัยพิบัติเลยครับ เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน เพราะฉะนั้น ขณะที่จะต้องตาย แม้ไม่ใช่ภัยพิบัติ แต่ขณะนั้น ก็เป็นภัยพิบัติร้ายแรงของแต่ละคน ที่กำลังจะตายในลักษณะแตกต่างกันอยู่ในขณะนั้นแล้ว ครับ

เมื่อรู้ว่าชีวิตไม่แน่นอน ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ ก่อนเกิดภัยพิบัติก็ได้ ประโยชน์คือ รู้จักภัยที่แท้จริง คือ กิเลส อกุศลธรรมที่เป็นภัยที่น่ากลัว คือ ความชั่วที่เราทำ อันเกิดจากกิเลส ที่เป็นภัยแท้จริง หนทางที่ถูก ประโยชน์ที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้ คือ การอบรม สิ่งที่จะละภัยที่แท้จริง นั่นคือ อบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม เพื่อละคลายกิเลส เพราะ กิเลส อกุศล ที่จะทำให้มีการเกิด หากไม่มีกิเลส ก็ไม่ต้องมาประสบภัย อันสมมติว่า เป็นภัยพิบัติ เพราะเมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ... การรู้กระทบสัมผัสและการคิดนึกเลย ครับ ก็ไม่มีภัยมาแต่ที่ไหน

ขณะที่ประเสริฐ คือ ขณะที่ปัญญาเกิด ละ ภัย คือความไม่รู้และกิเลสในขณะนั้น เราประสบพบภัยธรรมชาติที่โลกสมมติกันมามากแล้ว แต่ ขณะนี้มีภัย แต่ไม่รู้ว่าเป็นภัย

การศึกษาพระธรรม ในขณะนี้ และขณะต่อไป ชื่อว่า เป็นหนทางที่จะรู้จักภัย และ ละภัยที่แท้จริง ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
aurasa
วันที่ 8 ก.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับ คุณผเดิมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 8 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความคิดเห็นของผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชีวิตของแต่ละบุคคล จึงมีความเป็นไปตามการสะสมจริงๆ

ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม เห็นคุณค่าของปัญญาซึ่งเป็นธรรมที่ขัดเกลากิเลส ขัดเกลาความไม่รู้อันสะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ย่อมไม่ประมาทในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพราะชีวิตในแต่ละภพในแต่ละชาติสั้นมาก ไม่ยั่งยืนเลย ในเมื่อยังไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ก็จะได้มีความอดทน มีความเพียรที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาต่อไป สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า

เพราะเหตุว่า ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้จนหมดสิ้น อย่างไรก็ยังไม่พ้นการเกิดการตาย และหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ก็คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ท่านเหล่านี้จึงไม่หวั่นวิตกกับคำกล่าวหรือข้อความที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมคำสอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่จะเป็นผู้กระทำกิจที่ควรทำ นั่นก็คือ การอบรมเจริญปัญญา ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พรรณี
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอบคุณค่ะสำหรับคำเตือนที่มีทั้งเหตุและผลทางพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ปัญญาจะเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสทั้งหลาย

ขออนุโมทนากับคุณผเดิมและอาจารย์คำปั่น ที่กรุณาให้ข้อคิดนี้กับดิฉัน และกับอีกหลายๆ คนที่ได้เข้ามาอ่านในกระทู้นี้

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 15 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ขณะที่ประเสริฐ คือ ขณะที่ปัญญาเกิด ละ ภัย คือความไม่รู้และกิเลส ในขณะนั้นเราประสบพบภัยธรรมชาติที่โลกสมมติกันมามากแล้ว แต่ ขณะนี้มีภัย แต่ไม่รู้ว่าเป็นภัย การศึกษาพระธรรม ในขณะนี้ และขณะต่อไป ชื่อว่า เป็นหนทางที่จะรู้จักภัย และ ละภัยที่แท้จริง ครับ"

"ในเมื่อยังไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ก็ควรจะมีความอดทน มีความเพียรที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาต่อไป เพื่อสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chulalak
วันที่ 29 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนา

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 1 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ