ขอความชัดเจน เรื่องของ สติหน่อยครับ

 
เข้าใจ
วันที่  9 ก.ค. 2555
หมายเลข  21378
อ่าน  1,401

เพราะเหตุใดครับ สติจึงเกิดกับกุศลจิตเท่านั้นครับ

แล้วเพราะเหตุใด สติจึงไม่เกิดร่วมกับอกุศลครับ ขออุปมาครับ เหมือนผู้ที่คิดจะไปลักทรัพย์ของผู้อื่น เขาก็รู้ว่า การลักทรัพย์ของผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่ทำเพราะจำเป็น อุปมาอย่างนี้ เขารู้ตัว เขาก็น่าจะมี สติดี

กราบขอบพระคุณอาจารย์ครับ ด้วยความเคารพ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เข้าใจ
วันที่ 9 ก.ค. 2555

เนื่องจากได้ฟัง สนทนาธรรมที่บ้านธรรมะ ๐๖๐๗๓ บ้านธรรมะ ม.ค. ๒๕๕๒ ตอนที่ ๒๙ เรื่องของสติ คือฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จึงอยากทราบคำอธิบายเพิ่มเติมเท่านั้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 10 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพราะเหตุใดครับ สติจึงเกิดกับกุศลจิตเท่านั้นครับ

- สติเจตสิก เป็น เจตสิกฝ่ายดี ที่รียกว่า โสภณเจตสิก เพราะฉะนั้น สติเจตสิก จึงเกิดกับจิตที่ดีงาม ที่เป็นโสภณจิต ซึ่งจิตที่ดีงามที่เป็นโสภณจิต ไม่ได้จำกัดเฉพาะ กุศลจิต เท่านั้น เพราะ จิตใดที่มีเจตสิกฝ่ายดี มีสติเจตสิก หิริเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นจิตที่ดีงามทั้งสิ้น ซึ่ง เจตสิกที่ดีงาม สามารถเกิดได้กับจิตชาติวิบาก ชาติกิริยา และ ชาติ กุศล

เพราะฉะนั้น สติเจตสิกจึงเกิดได้กับ โสภณจิตที่เป็นจิตที่ดีงาม ทั้ง กุศลจิตทุกประเภท กิริยาจิตบางประเภท และ วิบากจิตบางประเภทได้ ไม่ได้จำกัดฉพาะ กุศลจิตเท่านั้น


แล้วเพราะเหตุใด สติจึงไม่เกิดร่วมกับอกุศลครับ

สติเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายดี จะไม่เกิดกับอกุศลจิตที่เป็นจิตไม่ดีเลย ครับ เพราะ สติเจตสิก เกิดกับจิตฝ่ายดี ที่เป็นโสภณจิต ครับ หากเข้าใจง่ายๆ สติทำหน้าที่ระลึกเป็นไปในทางที่ถูกและ เป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลส ขณะใดที่ สติเกิดขึ้น กั้นกระแสกิเลสไม่ให้เกิดในขณะนั้น และ ระลึกเป็นไปในทางที่ถูก ระลึกที่จะให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น

ซึ่งขณะที่เป็นอกุศล ไม่ได้ระลึกถูก และมีกิเลสเกิดขึ้น ไม่ได้กั้นกระแสกิเลส แต่เป็นไปตามกิเลสในขณะนั้น ครับ


ขออุปมาครับ เหมือนผู้ที่คิดจะไปลักทรัพย์ของผู้อื่น เขาก็รู้ว่า การลักทรัพย์ของผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่ทำเพราะจำเป็น อุปมาอย่างนี้ เขารู้ตัวเขาก็น่าจะมี สติดี

- ขณะที่คิดลักทรัพย์ผู้อื่น เป็นอกุศล ไม่มีสติเกิดร่วมด้วย แต่ ขณะที่รู้ว่าลักทรัพย์ไม่ดี ก็เป็นจิตอีกขณะหนึ่ง เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้น แต่เป็นอย่างอ่อน แต่เมื่อเป็นกุศลจิตแล้ว ก็มีสติในขณะนั้น แต่ขณะที่ทำบาป มีลักทรัพย์ ขณะนั้นไม่มีสติ เพราะ ถ้ามีสติ ย่อมไม่ทำ ย่อมจะกั้นกระแสกิเลสในขณะนั้น ไม่ให้ทำบาป และ สติเจตสิก ย่อมระลึกถูก ที่จะระลึกที่จะงดเว้นจากบาป เพราะ สติก็เกิดในกุศลขั้นศีลที่จะงดเว้นจากบาป

ดังนั้น การพิจารณาธรรม ต้องทีละขณะจิต แต่ละขณะว่ามีสติหรือไม่ ไม่เหมารวมเหตุการณ์ ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

โสภณจิต

สติเจตสิก -- โสภณสาธารณเจตสิก

โสภณสาธารณเจตสิกเกิดกับโสภณจิตทุกดวง

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 10 ก.ค. 2555

ขอขอบพระคุณ อาจารย์อย่างมากครับ ผมพยายามเปิดฟังแล้วหลายๆ รอบแต่ก็ยังไม่เข้าใจครับ จึงได้เรียนสอบถามมา มิได้มีเจตนาทำไม่รู้เกิดขึ้นครับ

ท่านอาจารย์ขยายความให้เข้าใจมานี้ ก็เป็นโอกาสอันดีครับที่จะได้อ่านทำความเข้าใจครับ ฟังทางหูไม่เข้าใจ มาดูทางตาน่าจะเข้าใจได้ดีกว่าครับ ผมได้ฟัง คุณลุงนิภัทรท่านพูดไว้น่าคิดจริงๆ ครับ สภาพธรรมนั้นเขาเสนอหน้าให้รู้ ให้ดูเสมอแหละ แต่เราก็ไม่ค่อยอยากจะรู้ ดูกัน เอากันขณะนี้ ไม่ต้องไปดูที่ไหน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ ไม่ต้องไปดูอื่น ฟังแล้วรู้สึกตื่นขึ้นดีครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 10 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงหรือหลอกลวงความเป็นจริงของสภาพธรรมได้เลย

สติ เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เกิดร่วมกับจิตที่ดีงามทุกประเภท

สติ เป็นสภาพธรรมที่ระลึกได้ เป็นไปในกุศลทั้งในขั้นของทาน ศีล และ ภาวนา (การอบรมเจริญปัญญา) ที่มีกาย วาจา และ ใจ เป็นไปในทางที่ดี ที่ถูกที่ควร ก็เพราะสติเกิดขึ้น นั่นเอง ถ้าสติไม่เกิดขึ้น จะเป็นกุศลไม่ได้เลย

ในเวลาที่กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความเป็นอกุศล ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าทำเพราะความจำเป็นแล้ว จะเป็นกุศล ในขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศล แต่ถ้าเกิดความสำนึกได้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงกระทำในสิ่งที่ดีงาม นั่นก็เป็นคนละขณะกัน ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด สำคัญอยู่ที่ว่าจะเห็นโทษของความไม่ดี ละเว้นในสิ่งที่ไม่ดี นั้น แล้วเพิ่มพูนความดีในชีวิตประจำวันมากน้อยแค่ไหน ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เข้าใจ
วันที่ 11 ก.ค. 2555

รู้สึกมีกำลังใจที่ดีครับ ในการสำรวจ กาย วาจา และใจ อย่างน้อยก็ยังมีอาจารย์ผู้รู้อยู่ ๒ ท่าน ที่คอยสนทนาให้โอวาทและวิสัชนาธรรม ให้ได้ถูกที่ถูกธรรม

ในชีวิตไม่เคยมีกัลยาณมิตรมาก่อนครับ มีเพื่อน พี่น้อง เขาก็มัวแต่ตกเป็นทาสของอบายมุข ดื่มเหล้า เล่นการพนัน มีเล่ห์เหลี่ยมเพ้อเจ้อหลอกลวงกันไปมา เพราะคิดต่างจึงไม่มีกัลยาณมิตรที่ดี ความหวัง มั่นในศีลธรรม รักษากาย วาจา ใจให้ตั้งมั่น ในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะมาเจอพระธรรมที่ตรงถูกทางก็เกือบปลายชีวิต ขันธ์ ๕ เริ่มจะเสื่อม ความจำก็เริ่มจะเสื่อม ความรู้ก็น้อย ปัญญาก็น้อย อายุก็เหลือน้อย มีมากอย่างเดียวคือ ความไม่รู้

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เข้าใจ
วันที่ 11 ก.ค. 2555

ได้ชม NBT บ้านธัมมะ ช่อง 11
อำนาจ ของสภาพธรรม อำนาจของการคิดนึก อำนาจของการเสพคุ้นในอารมณ์ ใครเป็น
เจ้าของอำนาจแห่งความเป็นจริงบ้างครับ ผู้มีสติเป็นไปในกาย มีสติเป็นไปในวาจาและมีสติในการระลึกรู้ ที่เป็นไปในสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ของความปรากฏใน ตา หู จมูกเป็นต้น เป็นกุศลหรืออกุศล แล้วแต่อำนาจของธรรมนั้นๆ และของปัจจัยที่เสพคุ้นจริงๆ ครับ

ผู้ที่มีจิตใจที่ดี ก็มีอำนาจของความดีปรากฏเกิดขึ้นเป็นไป ในกาย วาจา ใจอยู่เสมอๆ เป็น
ผลของกุศลที่มี่อำนาจ แต่ตรงกันข้ามกับกุศลคืออกุศลที่มักเสพคุ้นกับอารมณ์ ที่ไม่ดีเป็นไปในกายผิด วาจาผิด และเห็นผิด มักหลงลืมสติอยู่เสมอๆ เพราะด้วยอำนาจของความไม่รู้ครับ

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งครับ ด้วยใจจริงครับ
กราบขอบพระคุณอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและกัลยาณมิตรทุกๆ ท่านด้วยครับ

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 11 ก.ค. 2555

คนที่ประมาทไม่เจริญกุศล ชื่อว่าขาดสติ ขาดปัญญา

ตรงข้าม ถ้าสติเกิดระลึกไปในเรื่องของการเจริญกุศล เช่น ให้ทาน รักษาศีล อ่านหนังสือ

ธรรม ฟังธรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เข้าใจ
วันที่ 13 ก.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ คุณวรรณีเป็นอย่างสูงครับ ที่ให้สติครับ

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ