ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์

 
josas
วันที่  12 ก.ค. 2555
หมายเลข  21402
อ่าน  3,581

อยากเรียนถามว่า ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์ มีความหมายว่าอะไรคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความในพระไตรปิฎก มีข้อความว่า ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์ของผู้มีปัญญา แต่ ธรรมทั้งหลายย่อมไม่ทนต่อการเพ่งพิสูจน์ กับ โมฆบุรุษ ผู้ที่ศึกษาธรรมไม่ดี

ซึ่ง ในพระไตรปิฎก อธิบาย การเพ่งพิสูจน์ ที่เป็นการเพ่งพินิจว่า หมายถึงปัญญา ที่สามารถจะเพ่ง เห็น ถึง ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ หากไม่มีปัญญาแล้ว ธรรมทั้งหลายที่กำลังปรากฏ ย่อมไม่ทน คือ ย่อมไม่สามารถให้โมฆบุรุษที่ไม่มีปัญญา สามารถรู้ได้เลย ครับ

ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์ จึง หมายถึง ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ย่อมทน คือ สามารถให้ปัญญาเกิดได้ ไม่ว่ากาละ เวลาไหน หากมีปัญญาแล้ว ธรรมย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์ คือ สามารถให้รู้ได้ เพราะ ปัญญาเกิดนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของปัญญาเป็นสำคัญ

อีกนัยหนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่กำลังปรากฏ มีลักษณะไม่เปลี่ยนแปลง เห็น ก็ต้องเห็น ไม่ว่ากาลไหน เกิดกับใคร เสียงก็ต้องเป็นเสียง ไม่ว่าเกิดเวลาไหน กับใคร ธรรมทั้งหลายที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก รูป มีลักษณะเฉพาะตัว และมีลักษณะที่เสมอกัน คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ธรรมเหล่านี้มีลักษณะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเกิดกับใคร เวลาไหน เพราะฉะนั้น เมื่อมีลักษณะไม่เปลี่ยนแปลง ย่อมทนต่อการพิสูจน์ ด้วยปัญญา ทนด้วยเพราะมีลักษณะไม่เปลี่ยนแปลง ครับ

เมื่อมีปัญญาแล้ว ปัญญานั้นเองทำหน้าที่เพ่งพินิจ เพ่งพิสูจน์ รู้ความจริง ไม่ใช่เราที่จะไปพิสูจน์ ซึ่งก็ต้องอาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เกิด ก็จะค่อยๆ รู้ความจริง ธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันที่ไม่เคยรู้ ก็ค่อยๆ รู้ ขณะที่รู้ความจริง ในธรรมแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน ธรรมนั้น จึงทนต่อการพิสูจน์ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้น ครับ

เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ ครับ

เป็นเรื่องธรรมดาค่ะที่ยังเห็นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เพราะการอบรมเจริญปัญญายังไม่มากพอ ที่สำคัญคือ ไม่คิดที่จะแสวงหาหนทางอื่นที่จะทำให้สติและปัญญาเกิดมากๆ การปิดกั้นไม่ให้รู้ เช่น เห็น แต่ไม่รู้ว่าเห็นอะไร ได้ยินเสียงแต่ไม่รู้เป็นเสียงอะไร ฯลฯ

ขณะนั้นเป็นการสะสม ความรู้หรือความไม่รู้คะ เวลาที่สติปัฏฐานไม่เกิดก็รู้ ขณะนั้นก็เป็นการสะสมความรู้ว่ายังไม่รู้ จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยเพียงพอ ซึ่งเกิดจากการอบรมในขั้นการฟังและขั้นการพิจารณา สติปัฏฐานย่อมเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องไปทำอะไรให้เหนื่อยยาก เป็นหน้าที่ของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นกระทำกิจตามควรแก่เหตุและปัจจัยนั้นๆ

ข้อสำคัญ คือ ต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในเรื่องของเหตุของผล และความไม่มีตัวตนคือ อนัตตา มีแต่เพียงสภาพธรรม คือสิ่งที่มีจริงและทนต่อการพิสูจน์ เพราะสามารถพิสูจน์ได้แม้ในขณะนี้ ... ขึ้นอยู่กับว่า ปัญญาของเราพร้อมรึยัง

เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทนต่อการพิสูจน์

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
josas
วันที่ 13 ก.ค. 2555

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 13 ก.ค. 2555

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 13 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงที่ควรรู้ ทั้งหมดโดยประมวลแล้ว ได้แก่ นามธรรม กับรูปธรรม ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจตามความเป็นจริง

พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ความเป็นจริงของธรรมไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็จำกัดเฉพาะบุคคลผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้วเห็นประโยชน์ของความเข้าใจความจริง จึงจะมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ได้เกิดปัญญาเป็นของตนเองรู้สภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องอาศัยการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ

แต่บุคคลผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ย่อมไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้เลย แม้จะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดก็ไม่มีทางที่เข้าใจความเป็นจริงของธรรมได้เลยว่า เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ครับ.

..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 13 ก.ค. 2555

ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์ คือ เป็นของจริงที่พิสูจน์ได้ทุกเวลา ต่างจากของไม่จริง ถ้าเป็นของไ่ม่จริง ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 15 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"สิ่งที่มีจริงและทนต่อการพิสูจน์ เพราะสามารถพิสูจน์ได้แม้ในขณะนี้ ขึ้นอยู่กับว่า ปัญญาของเราพร้อมรึยัง?"

"พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น" ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ความเป็นจริงของธรรมไม่เคยเปลี่ยน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่น และทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
josas
วันที่ 19 ก.ค. 2555

ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความกระจ่างค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ประสาน
วันที่ 3 มี.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
สิริพรรณ
วันที่ 10 มิ.ย. 2567

ธรรมทั้งหลายนั้นเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังมากๆ และการประพฤติปฏิบัติตามด้วย เพราะเหตุว่าธรรมนั้นคงทนต่อการพิสูจน์ ถ้าไม่เกิดปัญญาตามความเป็นจริง ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ไม่ละคลายกิเลสไป ทีละเล็กทีละน้อยตามความเป็นจริง จะคิดว่าเป็นตัวตนที่จะบังคับบัญชา ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทนต่อการพิสูจน์

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

กราบขอบพระคุณธรรมทานทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 11 มิ.ย. 2567

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ