ช่วยตรวจสอบให้ทีว่าผมปาราชิกหรือไม่
๑. ตอนเป็นพระ มีโยมมาขอให้ช่วยลงโปรแกรมเกมให้ โดยที่รู้ว่าแผ่นนั้นเป็นแผ่นปลอมหรือแผ่นที่ละเมิดลิขสิทธิ์มานั้นเอง แต่ถ้าตามที่ผมเข้าใจก็คือ ผมไม่มีไถยจิตที่จะขโมยมาเป็นของตนเอง แต่มีจิตที่จะช่วยลงโปรแกรมเกมให้ อย่างนี้จะเป็นการขโมยโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่าครับ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ก็เลยไม่ได้คิดอะไร ก็ลงโปรแกรมให้เพราะอยากช่วย อย่างนี้จะปาราชิกหรือเปล่าครับ ไม่รู้ว่าจะไปตรงกับที่พระดาวน์โหลดโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์หรือเพลงละเมิดลิขสิทธิ์แล้วปาราชิก หรือเปล่า? คิดวิเคราะห์ยังไงก็คิดไม่ออก ช่วยวิเคราะห์กันหน่อยนะครับ
๒. ตอนเป็นพระได้ดูหนังออนไลน์ ดูรายการทีวีย้อนหลังจากเว็บที่เอามาให้ดูฟรี โดยมีจิตคิดแค่อยากดูเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่รู้ตัวหรือไม่ แล้วจะถึงขั้นปาราชิกหรือไม่อย่างไร ช่วยวิเคราห์หน่อยนะครับ
* ขอวิเคราะห์เป็น ๕ ข้อให้หน่อยนะครับ ผมจะได้สบายใจกับเรื่องนี้ซักที เพราะสึกมาแล้วก็ยังกังวลอยู่
๑. ทรัพย์นั้นมีเจ้าของ
๒. รู้ว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของ
๓. มีไถยจิตคิดจะลัก
๔. พยายามเพื่อที่จะลัก
๕. ลักทรัพย์นั้นสำเร็จ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อ ๑.
บาป ไม่ บาป สำคัญที่เจตนา แม้อาบัติปาราชิก มีการลักขโมย เป็นต้น ก็สำคัญที่ว่า มีเจตนาลักขโมย เป็นทุจริต หรือไม่ ครับ รวมทั้ง มูลค่าของของที่ขโมยนั้น ก็ต้องเกิน ๕ มาสก เพราะฉะนั้น ในประเด็นนี้ หากไม่รู้ว่าเป็นแผ่นปลอม และก็ไม่ได้มีเจตนาขโมย แต่เจตนาเอาเกมไปลง ก็ไม่เป็นอาบัติปาราชิก เพราะ ไม่มีเจตนาทุจริต ที่รู้อยู่ว่า เป็นแผ่นปลอม และ มีเจตนาลงแผ่นเท่านั้น แต่ หากรู้อยู่ว่าเป็นแผ่นปลอม มีเจตนาที่จะลัก ทุจริต ไปเผยแพร่ ดัดแปลง ทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์เสียหาย ก็อาจเป็นปาราชิกได้ ก็ต้องดูมูลค่าของว่า มากกว่า ๕ มาสก หรือไม่ ถ้ามากกว่า ก็ต้องอาบัติปาราชิก ครับ
ข้อ ๒.
การดูหนังออนไลน์ เมื่อเป็นเพศพระภิกษุ ไม่ได้ต้องอาบัติปาราชิก เพราะ ไม่ได้ขโมย แต่เป็นการดูหนัง แต่การดูหนังเป็นอาบัติข้ออื่นที่เบากกว่าปาราชิก และ ก็ไม่เป็นกรรมที่จะต้องไปอบายภูมิ ตกนรกอะไร ครับ
ที่สำคัญ เมื่อสึกออกมาแล้ว อาบัติทั้งหลายที่เคยล่วงมา ไม่ว่าจะเป็นอาบัติข้ออะไร ย่อมไม่ติดตัวผู้นั้น และ ไม่เป็นเครื่องกั้น การเกิดในสวรรค์ และ การบรรลุมรรคผล ครับ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นคฤหัสถ์แล้ว อาบัติของพระภิกษุ จึงไม่ติดตัวมาด้วย นอกเสียจาก หากกลับไปบวชเป็นพระภิกษุอีก อาบัติที่เหลือ ที่ยังไม่ได้ปลง ย่อมกลับมาอีก และต้องปลงอาบัติให้เหมาะสมในข้อที่ก้าวล่วง ครับ
สรุปได้ว่า ท่านผู้ถามไม่ได้ต้องอาบัติปาราชิก และ อาบัติต่างๆ ก็ไม่ติดตัวมาแล้ว เมื่อสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ แต่ประโยชน์ที่สำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะมีกรรมติดตัวหรือไม่ เพียงแต่ปัจจุบัน เมื่อเป็นเพศคฤหัสถ์แล้ว ก็ควรเจริญกุศล อบรมปัญญา ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ใช้ชีวิตให้เหมาะสมกับเพศคฤหัสถ์ ซึ่งจะเป็นการใช้ชีวิตที่ดีได้ ก็ด้วยชีวิตที่มีปัญญา เพราะ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ก็ย่อมเห็นโทษของอกุศล และเห็นคุณของการเจริญกุศล อันจะมีได้ก็ต้องอาศัย การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม
ที่สำคัญ เหตุการณ์ใดผ่านไปแล้ว ก็คือ ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น สำคัญ คือ ปัจจุบัน อยู่ด้วยความเข้าใจว่า ไม่มีใครแก้ไขในอดีตที่ผ่านมาได้ แต่ผู้ที่มีความเข้าใจ ย่อมสะสมเหตุใหม่ที่ดีในปัจจุบัน นั่น คือ เจริญกุศลทุกๆ ประการ พร้อมกับการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็จะเป็นประโยชน์กว่าการคิดถึงอดีต แล้วทำให้เดือดร้อนใจภายหลัง ครับ
ขออนุโมทนา ครับ
ผมคงคิดมากไปเอง คิดไปว่า เหมือนทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์นั้นขาดรายได้ในเรื่องที่เรากระทำในสองข้อนั้น ทั้งที่จริงแล้วเราไม่ได้มีเจตนาที่จะลักขโมยเลย คิดแค่อยากช่วย อยากดู เท่านั้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่สุด คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาต และไม่ประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม ความเดือดร้อนใจในภายหลังที่เกิดขึ้น ก็เป็นเพราะไม่ได้คล้อยตามพระพุทธพจน์ ถ้าได้สำรวมตามสิกขาบทต่างๆ ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ การต้องอาบัติน้อยใหญ่ ก็จะไม่เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นเหตุให้เดือดร้อนใจในภายหลัง
ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของการบวชว่า บวชเพื่ออะไร ก็จะทำให้ละเลยถึงกิจที่ตนเองควรทำให้สมกับเพศที่สูงยิ่งกว่าคฤหัสถ์ คือ ละเลยในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด การประพฤติปฏิบัติก็ย่อมจะผิดไปด้วย ทำให้มีความย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ต้องอาบัติด้วยความไม่ละอาย โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นโทษเป็นภัยอย่างไร เป็นไปตามการสะสมของแต่ละคนแต่ละท่านจริงๆ
ตามความเป็นจริงแล้ว ความเป็นบรรพชิต เป็นเพศที่สูงยิ่ง ถ้ารักษาไม่ดี ก็ย่อมมีแต่จะทำให้เกิดโทษแก่ตนเองโดยส่วนเดียว คร่าไปสู่อบายภูมิได้เลยทีเดียว ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์สูงสุดของการบวช ก็จะเป็นผู้ศึกษาพระธรรมและน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ
แต่ถ้าได้ลาสิกขาออกมาเป็นคฤหัสถ์แล้ว ก็ขอให้เป็นคนดีและศึกษาพระธรรมให้เข้าใจต่อไป นี้แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
คืองี้คับ
๑. ตอนเป็นพระอยู่ ผมสรงน้ำที่ห้องน้ำห้องพระเพื่อนด้วยกัน แล้วที่นี้มันมีสบู่ของพระเพื่อนผม เขารู้สีกจะหวงสบู่ก้อนนี้มาก ผมหยิบมาใช้วูบหนึ่ง ผมคิดว่าแอบใช้ ไม่ให้พระเพื่อนรู้ คือผมไม่ได้คิดว่าจะขโมยนะ แค่แอบใช้ไม่ให้เพื่อนรู้ อย่างนี้ผมจะอาบัติปาราชิกไหม
๒. สมัยบวชใหม่ๆ ผมเคยขอพระเครื่องจากพระด้วยกัน ตอนขอและได้มา ผมไม่รู้ว่าเขาได้มายังไง แต่พอมารู้ทีหลังว่า เขาเช่ามาจากวัดนั่นแหละ แต่ราคาที่เขาเช่ามาและอาการที่เขาเอาพระเครื่องนั้นมา รู้สึกว่าจะไม่ชอบธรรม คือพระเครื่องชุดนั้น เจ้าอาวาสไม่ให้นำออกมา แต่เขาแอบเช่าและเช่าแบบไม่ตรงกับราคาพระเครื่องชุดนั้น คืออาจะองค์ละ ๑,๐๐๐ฺ- แต่เขาเช่าองค์ละ ๒๐๐ - ๓๐๐.-บาท และเขาก็หยิบมาทีละองค์สององค์อะไรแบบนี้ ผมมารู้ทันที่ผมรับของมาแเล้ว คือผมขอ เพราะเห็นว่าเขามีเยอะ ปัญหาอยู่ที่ ผมจะอาบัติปาราชิกไหม มันมีวูบหนึ่งที่ผมคิดว่าเราคงไม่อาบัติ เพราะเราพึ่งมารู้ในตอนที่รับของมาแเล้ว ๒-๓ วัน คือผมคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอกมั้งอะไรแบบนี้ เพราะเราไม่มีเจตนาขโมยในที่ลับ ขอและรับ อย่างนี้ผมจะอาบัติมั้ยครับ