ละความเห็นแก่ตัวด้วยการทำดีและศึกษาพระธรรม
การไม่ได้ฟังธรรมให้เข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรม แต่ละอย่าง ตามความเป็นจริง เพราะอวิชชาความไม่รู้ความจริงจึงยึดถือสภาพธรรมเหล่านั้นว่า เป็นตัวของเรา ที่แท้เป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรม (จิต เจตสิกและรูป) ที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่เกิดจนตายหาความเป็นเราไม่ได้เลย สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้ เพราะความไม่รู้ความจริงแท้ๆ ก็ยึดมั่น ติดข้องในสิ่งซึ่งไม่มีสาระ ทำอะไรก็เพื่อตัวตนของเรา เห็นแก่ตัวตนนี้ ...
ปัญญาเท่านั้นที่จะคลายความยึดมั่นในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ละคลายความเห็นแก่ตัว ก็มีหนทางเดียวเท่านั้นคือ การฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อละคลายความเห็นผิดว่ามีตัวตน มีเราที่จะทำ แท้จริงไม่มีเราที่จะทำอะไรได้เลย
ฉะนั้นการศึกษาพระธรรม ก็ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ฟังให้เข้าใจจนกว่าสติระลึกรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่างตามที่ได้ฟังมา โดยไม่มีตัวเราที่จะจดจ้อง จนกว่าจะบรรลุถึงความเป็นพระโสดาบันดับความเห็นแก่ตัว
เพราะฉะนั้น ทำดีด้วยความเข้าใจจริงๆ ก็ตรงกับสโลแกนของมูลนิธิฯ ก็คือ ทำดีและศึกษาพระธรรม เพื่อคลายความไม่รู้ ละคลายกิเลส ละคลายความเป็นตัวตน ละคลายความเห็นแก่ตัว เพราะว่าเข้าใจถูกเห็นถูกว่าไม่มีตัวตน มีแต่ธรรม
ใครๆ ก็สอนให้ทำความดี แต่มีเพียงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สอนให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นแล้วต้องดับ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้เลย ฟังให้เข้าใจความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรมทั้งหลาย ... นี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ละการยึดถือสภาพธรรม ละความเห็นแก่ตัว ด้วยการทำดีและศึกษาพระธรรม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทำดี และ ศึกษาพระธรรมด้วยความเข้าใจว่า เป็นไปเพื่อละคลายกิเลส โดยไม่มีตัวตนที่จะพยายามจะทำ จะทำความดี มีตัวตนที่จะได้ปัญญา เพราะ ขณะที่เข้าใจพระธรรมว่าเป็นแต่เพียงธรรม ขณะนั้น เป็นความดี และ เป็นการละคลาย ความเห็นแก่ตัว เพราะ เริ่มเข้าใจว่า ไม่มีตัวเรา มีแต่ธรรม ทำดี และ ศึกษาพระธรรม ด้วยความละเอียด ก็จะทำให้เข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของธรรม เมื่อเข้าใจดังนี้ ก็ใช้ชีวิตเป็นปกติในชีวิตประจำวัน อกุศลเกิด ก็เป็นธรรมดา เห็นแก่ตัว มีตัวเราด้วย ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา และ กุศลเกิด ก็เป็นธรรมดา หนทางที่ถูกต้อง คือ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นว่า ไม่มีตัว ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล จึงเป็นการอบรมปัญญาที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน และ เมื่อมีความเข้าใจถูกว่าธรรมเป็นอนัตตา ก็ทำดี ตามเหตุปัจจัย ไม่มีการบังคับ และ ศึกษาพระธรรม ตามเหตุปัจจัย เมื่อไหร่สนใจที่จะศึกษา เวลาไหน ก็ศึกษาเวลานั้น คือ เหตุปัจจัยพร้อมเวลานั้น ไม่อยากจะศึกษาสนใจ เวลาใด ก็เหตุปัจจัยเป็นอย่างนั้น เมื่อเข้าใจความเป็นธรรมดาของสภาพธรรมที่จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยและเป็นอนัตตา จึงสามารถกล่าวได้ว่า ทำดี และ ศึกษาพระธรรม ตามเหตุปัจจัย ครับ
ขออนุโมทนาพี่เมตตา ที่นำธรรมข้อคิดดีๆ มาให้สหายธรรมได้เข้าใจกัน ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตา อาจารย์ผเดิม และทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเห็นแก่ตัว เป็นอกุศลธรรม ใครก็ตามที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังมีความเห็นแก่ตัวแน่นอน เมื่อมีความรู้สึกว่าเป็นเราหรือว่าเป็นตัวตน ก็ย่อมมีความเห็นแก่ตัวมากกว่าที่จะเห็นแก่บุคคลอื่น เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันจึงมีความรักตัวและก็ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัวในขณะใด ในขณะนั้นเป็นอกุศลทั้งหมด
ดังนั้น สภาพธรรมที่จะเป็นเครื่องขัดเกลาความเห็นแก่ตัว ก็คือ กุศลธรรม ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดี เพราะเหตุว่า ทุกขณะที่กุศลธรรม (กุศลจิต และ โสภณเจตสิก) เกิดขึ้นเป็นไปนั้น จะไม่ปราศจากอโลภเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่ติดข้อง ไม่โลภเลย ขณะใดที่อโลภะเกิด ขณะนั้น ละความเห็นแก่ตัว ซึ่งจะตรงกันข้ามกับความติดข้องอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น การทำดี และศึกษาพระธรรม จึงเป็นไปเพื่อขัดเกลาความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จนกว่าจะสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และทุกๆ ท่านด้วยครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ อาจารย์
ทำดี และ ศึกษา พระธรรม ตามเหตุปัจจัย
เห็นด้วยกับอาจารย์ paderm อย่างที่สุดค่ะ เพราะการสะสมของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน นับได้ว่าต่างกันมาก บางท่านก็ชอบแค่เดินวนหาผักหาหญ้ากินอยู่รอบๆ เขา บางท่านก็สะสมมาจนเจอบันไดขึ้นเขาง่ายๆ บางท่านก็สะสมมาเจอทางเดินขึ้นเขาลำบากลำบน แล้วแต่การสะสมของแต่ละท่าน ไม่นับแค่การกระทำชาตินี้เท่านั้น หลายชาติที่ผ่านมาเป็นร้อยเป็นพันชาติ ก็สะสมกันเรื่อยมาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปกตูคือพลวปัจจัยของแต่ละคนที่ทำมาในอดีตด้วยค่ะ บางท่านก็ทำแค่ทำตนเองรอด บางท่านก็มีเมตตาช่วยผู้อื่นด้วยเมื่อตนเองเข้าใจแล้ว ก็สงเคราะห์ผู้อื่นและสะสมเพื่อความเข้าใจนำมาปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปด้วยอิทธิบาท ๔ บางท่านก็ทำไปด้วยโลภะ แต่อย่าลืมนะคะ ว่าอาจารย์บางท่านกล่าวว่า โสมนัสนั้นเป็นเหตุใกล้ให้เกิดกุศล และจะกลายเป็นจิตที่เป็นกุศลได้ง่ายๆ เพราะโสมนัส แม้จะเป็นโสมนัสที่เกิดกับโลภะที่เป็นอกุศลก็ตาม เพราะความเป็นอกุศลก็เป็นธรรมที่อุปการะให้เกิดกุศลได้เช่นกัน ฉะนั้น ขึ้นอยู่กับปกตูของแต่ละท่านว่า สะสมมาอย่างไรด้วยค่ะ
และที่สำคัญคือ ศึกษาแล้วนำมาปฏิบัติ มิใช่ฟังเพื่อรู้แล้วนำมาอวดตน นำมาเป็นแฟชั่นว่า เป็นนักปฏิบัติให้คนเชิดชู แต่จิตใจไม่ได้บรรเทาอกุศลเลย ขุ่นเคืองได้ง่าย อย่างนี้เรียกว่า ไม่มีดวงตาเห็นธรรม
การศึกษาพระธรรมนั้น เป็นการสืบทอดพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ การศึกษาทุกข้อธรรม ก็ถือเป็นการสืบทอดพระธรรมให้คงอยู่ ด้วยมีคนเข้าไปศึกษา และนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติเป็นพลวปัจจัยในสันดานสืบต่อไปในภพหน้าค่ะ