ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ๑๗-๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และ คณะวิทยากร ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ได้รับเชิญจากชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อไปสนทนาธรรม
ที่ บ้านเทวมนตรา บูติค รีสอร์ท และ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อวันที่ ๑๗-๑๘ กรกฏาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา
เมื่อท่านอาจารย์เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ราว ๑๑.๓๐ น.
ของวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ได้มีสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.
จังหวัดเชียงใหม่ มาคอยให้การต้อนรับ และ นำท่านไปยังบ้านเทวมนตรา บูติค รีสอร์ท
ซึ่งอยู่บริเวณอำเภอหางดง เส้นทางที่จะไปอำเภอสะเมิง ใกล้กับเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
ข้าพเจ้าได้ทราบว่าเจ้าของรีสอร์ท คือ คุณ สุมาลย์ สุริยา
เป็นสหายธรรมที่ติดตามฟังธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
บริเวณรีสอร์ท มีความร่มรื่นเย็นสบาย บรรยากาศดี มีต้นสักและไม้อื่นๆ ร่มครึ้ม ดูสดชื่น
เมื่อเดินทางไปถึง ก็เป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดี ทางรีสอร์ทได้จัดซุ้มอาหารไว้กลางสวน
โดยจัดให้มีบรรยากาศแบบตลาดสดตอนเช้าของคนเมืองเหนือ ที่เรียกว่า กาดมั่ว
ให้ทุกๆ ท่าน ได้เดินเลือกรับประทานอาหาร และ เครื่องดื่มได้ตามอัธยาศัย
เป็นตลาดที่มีของกินหลายอย่าง หลายชนิด ซึ่งนอกจากจะได้บรรยากาศเมืองเหนือแล้ว
อาหารที่เตรียมไว้ ก็อร่อยทุกอย่างอีกด้วย อันนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ชมเพียงคนเดียว
แต่สหายธรรมหลายท่านที่ไปจากกรุงเทพฯ เป็นคนยืนยันกับข้าพเจ้าเองว่าเป็นเช่นนั้น
และ ที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่ง เมื่อมีสนทนาธรรมทุกครั้งที่เชียงใหม่ คือ สลัดผักพี่โจ
ซึ่งเป็นจานโปรดของทุกคนที่พลาดไม่ได้ และ เป็นสินค้าขายดีอันดับหนึ่งทุกครั้งทีเดียว
ครั้งนี้ทราบจากพี่โจ (นาวาอากาศตรีจรัญ ปานุราช) ว่าเตรียมผักสลัดจากสวนของพี่โจ
มาให้รับประทานทั้งสองวันรวมสามมื้อ ถึง ๔๐ กิโลกรัมทีเดียว
ขออนุโมทนาพี่โจกับพี่ฝนด้วยครับ อาหารมื้อเย็นที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ เป็นข้าวหน้าไก่
สำหรับข้าพเจ้า นี่เป็นข้าวหน้าไก่ที่อร่อยที่สุดที่เคยรับประทานมา อีกทั้งทางรีสอร์ท
ยังจัดโต๊ะอาหารเย็นมื้อนั้นได้โรแมนติคมาก ด้วยแสงเทียนที่ถูกจุดไว้ตามโต๊ะทุกโต๊ะ
เป็นการรับประทานอาหารอร่อยๆ ในบรรยากาศที่น่าประทับใจจริงๆ ครับ
ให้ได้คิดพิจารณาว่า หากบุคคลมิได้สะสมกุศลธรรมทั้งหลายมาแล้ว สิ่งต่างๆ รสต่างๆ
ความวิจิตรบรรจง ประณีต สวยงามต่างๆ ที่น่ารื่นรมย์นี้ จะปรากฏแก่บุคคลนั้นไม่ได้เลย
สัตว์โลก จึงเป็นที่ดูผลของบุญและบาป สมดังที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
และ ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เพื่อให้ผู้ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนได้ศึกษา พิจารณา
ด้วยว่า สิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีวิตนี้ ที่ได้เกิดมา คือ การได้เข้าใจพระธรรม
ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าการได้มาซึ่งทรัพย์ใดๆ ในโลก เพราะเหตุว่าแม้มีทรัพย์มากเท่าใด
แต่ใจยังทุกข์ ยังเดือดร้อนเพราะกิเลสที่ได้สะสมมา ซึ่งจะละคลายจนหมดได้ด้วยพระธรรม
มื้อเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นข้าวต้มปลาดอลลี่ ที่มีเต้าหู้แข็งซอยชิ้นเล็กๆ ทอดกรอบไว้ให้ใส่
ในข้าวต้มด้วย อันนี้ ข้าพเจ้าชอบมาก เพราะคุ้นเคยมาแต่เด็กเมื่อคุณพ่อทำข้าวต้มเครื่อง
ให้รับประทาน ท่านจะทอดเต้าหู้แข็งแผ่นบางฟูๆ กรอบอร่อย ไว้โรยหน้าข้าวต้มทุกครั้ง
เป็นความหลังที่ประทับใจของข้าพเจ้า เช่นเดียวกับการโรยหน้าโจ๊กหมูด้วยหมี่ขาว
ที่ทอดฟูกรอบ ให้ความรู้สึกอร่อยแบบพิถีพิถัน ด้วยความใส่ใจในการปรุงของคนทำ
แนะนำอาหารและสถานที่มาพอสมควรแล้ว ก็ขอพาทุกท่านเข้าเรื่องเลยนะครับ
สำหรับการสนทนาที่เชียงใหม่คราวนี้ ท่านผู้จัด คือ ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จ.เชียงใหม่
ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม ในสองสถานที่ วันแรก คือ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม
สนทนาธรรม ที่บ้านเทวมนตรา บูติค รีสอร์ท เวลา ๑๔.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.
โดยพักค้างคืนที่รีสอร์ท และ หลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว จึงเดินทางไปสนทนาธรรม
ที่โรงแรมดิเอ็มเพรส ที่อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ ระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.
ซึ่งทั้งสองวัน มีชาวเชียงใหม่ทั้งคนเก่าและผู้ใหม่ มาร่วมฟังการสนทนามากเป็นพิเศษ
กว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันที่สองที่โรงแรมดิเอ็มเพรส มีผู้เข้าฟังมาก
ถึงร้อยกว่าท่านทีเดียว จนผู้จัดต้องขอให้ทางโรงแรม นำเก้าอี้มาเสริมครั้งแล้วครั้งเล่า
จนห้องที่คิดว่าใหญ่พอสมควร ดูแคบลงไปถนัดตา เป็นสิ่งที่น่ายินดีและปลื้มใจมากครับ
ทั้งท่านผู้จัด ก็ใจดี เลี้ยงอาหารกลางวันมื้อใหญ่แก่ทุกท่านที่เข้าร่วมฟังในวันนั้น
ในห้องบุฟเฟต์นานาชาติ ที่มีอาหารอร่อยหลากชนิด มากมายให้เลือกรับประทาน ครับ
อันดับต่อไปข้าพเจ้าขออนุญาต นำความการสนทนาบางตอนของทั้งสองวันดังกล่าว
มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา เพื่อยังประโยชน์ตามควรแก่กาล
ซึ่งอาจมีภาพและข้อความ ที่ค่อนข้างยาว ได้แบ่งภาพและความการสนทนา
ไว้เป็นสองตอนตามสถานที่ แต่นำเสนอไว้ต่อเนื่องกันไปเลย เพื่อประโยชน์ คือการบันทึก
เรื่องราวและเหตุการณ์ อันอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ ตามจุดประสงค์ที่เคยกล่าวแล้ว
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ท่านอาจารย์ ที่จะกล่าวถึง สิ่งที่มีจริง แต่ถูกปกปิดด้วยความไม่รู้
ซึ่งใช้ภาษาบาลีว่า "อวิชชา" ไม่รู้ความจริง ไม่ได้เห็นถูกตามความเป็นจริง
ว่า สิ่งที่มี ต้องเกิดขึ้น มีชั่วคราว แล้วก็หมดไป
อย่าง "เห็น" เกิดขึ้น แล้วดับเลยค่ะ ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย
ขณะนี้ "จิตได้ยิน" กำลังได้ยิน "เสียง" แล้วก็ดับไปเลย ทำอะไรก็ไม่ได้
เป็นสิ่งที่มีจริง ชั่วขณะที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
นี่คือชีวิต ที่เข้าใจว่า "เป็นเรา" ตั้งแต่เกิดจนตาย
แต่ความจริง ไม่ใช่
เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้น เป็นไป แต่ละขณะ ต่างๆ กันไป ตามเหตุ ตามปัจจัย
แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย จะไปหาอีกที่ไหนก็ไม่ได้
เราคิดว่า มีเราเกิด แล้วก็ มีเราตาย พอตายแล้ว ก็ไม่มีเรา ใช่ไหม?
แต่ความจริง...
...แม้เดี๋ยวนี้...ก็ไม่มีเรา...แต่มี...สิ่งที่...เกิด...แล้วก็...ดับ....
ซึ่งต้อง "ฟัง" จนกระทั่งสามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพื่อละ ความไม่รู้.....
...เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิต ก็เป็นธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ชั่วคราว
เกิดมารู้ เกิดมาเห็น เกิดมาได้ยิน แล้วก็หมด
หมดก่อนตายด้วยค่ะ
อย่างเห็นเมื่อวานนี้ ก็ไม่เหลือแล้ว
รสอาหารที่อร่อยเมื่อกี้นี้ เดี๋ยวนี้ นึกถึงได้
แต่ไม่ใช่ "รส" ที่กำลังปรากฏ
เป็นความต่างกันแล้ว ใช่ไม๊คะ?
เพราะฉะนั้น จึงมีคำว่า วิญญาณธาตุ "สภาพที่รู้แจ้ง สิ่งที่ปรากฏ"
เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิต กำลังเห็น รู้แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ
บอกได้ จำได้ ว่านั่นเขียว นั่นเหลือง นั่นเป็นต้นไม้ นั่นเป็นดอกไม้ นั่นเป็นอะไรต่างๆ
ตามที่หลากหลาย ตามที่ได้เห็นมา เพราะ "เห็น"
แต่ถ้าไม่มีเห็น จะรู้ไหม?
ว่าความหลากหลาย เป็นอย่างไร?
ก็รู้ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เห็นทีละหนึ่ง แล้วก็ดับ
แต่ว่าเกิดดับเร็ว ประมาณไม่ได้เลย เหมือนเราจุดก้านธูป แล้วก็แกว่งเร็วๆ
เพียงก้านธูปดอกเดียว ก็ปรากฏเป็นวงกลมได้
ทั้งๆ ที่จากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง ต้องดับก่อน แต่พอกลับมาซ้ำอย่างเร็ว
ก็เหมือนไม่ได้ดับเลย
ชีวิตก็เป็นอย่างนี้
มีแต่การเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
แต่เพราะไม่รู้ความจริง ก็สืบต่อตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งโต จนกระทั่งเดี๋ยวนี้
จนกระทั่ง จากโลกนี้ไป
ก็เป็นแต่ธรรมะ ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครที่จะไปทำให้เกิดขึ้นได้
เพราะอะไรคะ? เกิดแล้วทั้งหมด แล้วจะทำอะไร? เกิดแล้วต่างหาก
ลองคิดว่าจะทำอะไร? ไม่ได้ทำ เกิดแล้ว แม้แต่ "คิด" ก็เกิดแล้ว
แม้แต่ "จำ" ก็เกิดแล้ว แม้แต่ "เห็น" ก็เกิดแล้ว
ทุกอย่าง มีปัจจัย เกิดแล้วไม่รู้
จึงเข้าใจว่า "เป็นเรา" หรือ "เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด" ที่เที่ยง
แต่ถ้าแยกย่อยแล้วก็เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริง เพียงแต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกันเลย
อย่างเสียง ก็ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่คิด ไม่ใช่เห็น
มีจริงๆ ตลอดในชีวิต แต่ก็หมดไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ก็ทรงแสดงความจริง ที่ได้ตรัสรู้แล้ว
ให้คนอื่น ได้เข้าใจถูกต้อง
ว่าความจริง เป็นอย่างนี้
ถ้าไม่มีการตรัสรู้สภาพธรรมะ ก็มีแต่ "ความไม่รู้"
ทุกภพ ทุกชาติ ก็ยังยึดถือสภาพธรรมะว่า "เป็นเรา"
เกิดมา จากไม่เคยเกิดมาเป็นคนนี้เลย แล้วก็มีคนนี้
แล้วคนนี้ทำอะไรบ้าง? ตั้งแต่เกิด จนตาย
พอตายแล้วก็จำไม่ได้เลย
หมดไปเลย หาอีกไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไร ของการที่เกิดมาเป็นคนนี้
บางคนก็ทำชั่ว ตลอดชีวิต บางคนก็ทำดีบ้าง
แต่แม้จะทำดี ความดีนั้นไม่บริสุทธิ์
เพราะเหตุว่า...ไม่มีปัญญา...
ที่รู้ความจริงว่า...ไม่ใช่เรา...
เพราะฉะนั้น เมื่อทำดี ก็ยังเป็น "เราที่ทำดี"
เพราะฉะนั้น จะบริสุทธิ์ จากสิ่งที่มีจริงๆ ได้อย่างไร?
ในเมื่อ หลงเข้าใจผิด ว่าเป็นเราทำดี
จะบริสุทธิ์จริงๆ ต่อเมื่อรู้ว่า
ไม่มีเรา
วันนี้ เห็นความเห็นแก่ตัว บ้างไม๊คะ? ของใครคะ?
คนอื่น เห็นแก่ตัว หรือว่า แท้ที่จริง ทุกคนที่เข้าใจว่ามีตัว เห็นแก่ตัว
โดยไม่รู้เลย
ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนี้ คนนี้ กำลังเห็นแก่ตัว
แม้นิดเดียว ก็ส่องถึงความเป็นตัวตน และ การยึดถือตน ว่าเป็นเรา
จึงเห็นแก่ตัว เพราะรักตัวที่สุด
ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ตั้งแต่ตื่น รักใครที่สุด
ตัวนี้ค่ะ
เดือดร้อน ก็เพราะ "ตัว" รักมาก เป็นอะไรไปนิด อะไรหน่อย ก็ไม่ได้
ตัดผมผิดรูป ผิดร่าง ก็เดือดร้อนแล้ว
แค่ผม ก็เป็นเรา เป็นของเราไปหมดเลย
เพราะฉะนั้น ยึดถือสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ว่าเป็นเรา และ เป็นของเรา
แล้วทุกข์ไหม?
และ สำหรับผู้ที่ไม่ทุกข์ ก็คือ ไม่มีความติดข้อง
เพราะว่า เป็นแต่เพียง สิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้น ปรากฏเพียงชั่วคราว
แล้วก็หายไป ดับไป แล้วก็ ไม่กลับมาอีกเลย
มีเพื่อนฝูง ญาติมิตรสหาย หายไปทีละคน สองคน.....หายไปเลย....
จากที่เคยมี เคยพบ เคยพูด ก็หายไป ไปตามหาที่ไหนอีกก็ไม่มี
แม้แต่เราเอง มาอยู่บนโลกนี้ ชั่วคราว
แล้วก็.....หายไป.....
ไปไหนรู้ไม๊คะ? ไม่รู้ ใช่ไม๊คะ?
แต่...ไปแน่...
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคอยไปจนกระทั่งถึงวันนั้น
เมื่อวานนี้ ก็หายไปแล้ว เมื่อกี้นี้ ก็หายไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ฟังธรรมะ
เราไม่มีทางที่จะเข้าใจถูก ในสิ่งที่มี
จึงมีความต่าง ของความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ ปุถุชน
เทียบกันไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น มีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟังธรรมะ เพราะว่า ได้สะสมบุญแต่ปางก่อน
ทำให้มีความศรัทธา ที่จะเห็นประโยชน์ ของการได้เข้าใจ
อยู่ไปวันๆ แล้วไม่เข้าใจอะไรเลย
กับ มีผู้ที่ตรัสรู้ และ ทรงแสดงธรรมะ ให้คนสามารถที่จะเข้าใจได้
ก็เป็นโอกาส ของผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้ว
เพราะฉะนั้น ชาตินี้ เป็นชาติปางก่อนของชาติหน้า
กำลังสะสมบุญ ที่ได้กระทำไว้แต่ชาติปางก่อน ของชาติหน้า
คือ เดี๋ยวนี้ ที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมะขึ้น
พระกุมาบุตรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
การฟังเป็นความดีความประพฤติมักน้อยเป็นความดี
การอยู่โดยไม่ห่วงใยเป็นความดีทุกเมื่อการถามสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี
การทำตามโอวาทโดยเคารพเป็นความดีกิจมีการฟังเป็นต้นนี้
เป็นเครื่องสงบของผู้ไม่มีกังวล
ท่านอาจารย์ สำหรับข้อความที่ว่า ธรรมะ ทนต่อการพิสูจน์
ก็จะต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมะ คือ อะไร?
ทุกคำ กล่าวถึงสิ่งที่ทำให้เข้าใจได้ ไม่ใช่พูดแล้ว ไม่รู้ว่า ธรรมะ อยู่ที่ไหน?
หรือว่า ธรรมะ คือ อะไร? แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไร? ถ้าไม่รู้ว่า สิ่งนั้น คืออะไร?
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ผ่านไม่ได้เลย ต้องมีความเข้าใจจริงๆ แล้วมั่นคงว่า
สิ่งที่มีจริง ทุกขณะ "มีลักษณะ" ที่กำลังปรากฏว่า สิ่งนั้นมี
สิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ก็เป็นธรรมะแต่ละอย่าง ซึ่งไม่ปะปนกันเลย
เดี๋ยวนี้เอง กำลังเห็นจริงๆ ทุกคนยอมรับว่า "เห็น"
เพราะฉะนั้น "เห็น" ขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน สำหรับคนที่กำลังเห็น
"เห็น" เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง คือ เป็นสิ่งที่มีจริง อย่างหนึ่ง
แม้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ปรากฏทุกวัน เมื่อวานก็เห็น ก่อนเมื่อวานนี้ก็เห็น เกิดมาก็เห็น
แล้วต่อไปก็เห็น แม้ก่อนจะจากโลกนี้ไปก็เห็น
แต่ "เห็น" คือ อะไร?
ทั้งๆ ที่มีอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ความจริงเลย
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ควรรู้อย่างยิ่ง
เพราะเหตุว่า ในขณะใดก็ตามที่ สิ่งหนึ่งสิ่งใด กำลังปรากฏว่า มีจริงๆ
ขณะนั้น จะมีสิ่งอื่น ไม่ได้
ต้องมีแต่เฉพาะ "สิ่งหนึ่ง" ซึ่งกำลังปรากฏ
แต่ว่า ขณะนี้ ดูเสมือนว่า มีทั้งเห็นด้วย มีทั้งได้ยินด้วย
ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่มี "เห็น" อย่างเดียว "ได้ยิน" ก็มี เพราะฉะนั้น "ได้ยิน"
ก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ด้วย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ความจริงของสิ่งที่มีจริง
ซึ่งคนส่วนใหญ่ ไม่เคยคิดถึงเลย
เพราะว่า คิดถึง "เรื่องอื่น" หมดเลย แต่ไม่เคยคิดถึง สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้
ว่าแท้ที่จริงแล้ว ถ้าแต่ละหนึ่งขณะไม่มี จะมีชีวิต ได้อย่างไร?
โลกนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร? ก็ไม่มีอะไร เกิดขึ้น เป็นไปได้เลย
แต่เพราะเหตุว่า มีแต่ละหนึ่ง ซึ่งปรากฏ สืบต่อ อย่างรวดเร็วมาก โลกนี้ จึงปรากฏ
ว่าเป็นโลกที่ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบ้าง มีเสียง มีกลิ่น มีรส
มีเย็น หรือ ร้อน อ่อน หรือ แข็ง ปรากฏทุกวัน
ถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ...
โลก...ไม่มี...
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่มีจริง
ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ และ ไม่ทรงแสดง
เราก็เกิดมา มีชีวิตอยู่อย่างนี้
โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏนี้ ใครไปทำให้เกิดขึ้น ใครทำได้?
"เห็น" ขณะนี้ ใครทำได้? หรือว่า "ได้ยิน" ขณะนี้ ใครทำให้ "ได้ยิน" เกิด?
เกิดแล้ว ทั้งนั้น ตามเหตุ ตามปัจจัย
และที่เป็นจริงยิ่งกว่านั้น ก็คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เกิดแล้ว สิ่งนั้นดับ
ไม่มีใครสามารถที่จะไปเก็บ หรือว่า จะไปค้นหา สิ่งที่ดับ คือ ไม่กลับมาอีกเลย
นี่คือ แต่ละขณะ ซึ่งเป็นความจริง
เพราะฉะนั้น แม้ว่านักปราชญ์ หรือว่า นักปรัชญา นักจิตวิทยา จะพยายามค้นคิด
เรื่องความจริงของชีวิต ชีวิตว่างเปล่า ชีวิตไม่มีสาระ หรือ อะไร
ก็เป็นแต่เพียงคำพูด ที่ไม่ได้ทำให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในสิ่งที่เป็นจริง ในขณะนี้
ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ เกิดแน่นอน จึงปรากฏ
แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว สุดที่จะประมาณได้
จนดูเสมือนว่า ไม่ได้ดับไปเลย มีอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น ความเห็นของชาวโลก ซึ่งไม่มีปัญญา ที่จะรู้ความจริง
จะเปรียบเทียบกับพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไกลกัน เหมือนพระอาทิตย์ กับ แสงพระอาทิตย์ ที่มาสู่โลก
เพราะฉะนั้น ใครจะไปสามารถเข้าถึงพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้น หนทางเดียว นะคะ
เราได้ยินคำว่า พระรัตนตรัย ซึ่งไม่ได้มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่มีพระธรรม ที่ทรงแสดง จากการตรัสรู้ด้วย เป็นรัตนะ เป็นสิ่งที่มีค่า ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
เพราะว่า แม้ว่าใครจะมีทรัพย์สิน แก้วแหวนเงินทอง มียศถา บรรดาศักดิ์ มีเกียรติยศ
ก็ยังมีความทุกข์
ไม่มีใครสามารถที่จะพ้นไปจากความทุกข์ ในแต่ละวัน ซึ่งละเอียดมาก
แต่เมื่อผู้ใด ได้มีความเข้าใจพระธรรมแล้ว ขณะนั้นก็จะรู้ได้
ว่าสิ่งที่เคยเป็นทุกข์อย่างมาก ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง
จนถึงการดับกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้
จากการเข้าใจพระธรรม
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ด้วยการเห็นประโยชน์จริงๆ
ว่าไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเป็นชีวิตแต่ละหนึ่งขณะ
ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งขณะที่เกิด และ แต่ละขณะซึ่งเป็นไป จนถึงขณะสุดท้าย
ก็จะไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อเกิดแล้ว ก็เป็นเพียงแต่ละหนึ่งขณะที่เกิดดับ
จนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย ที่จากโลกนี้ไป
ถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมะ ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนที่เคยเป็นมาแล้ว
เหมือนที่เคยเป็น เคยมีมาแล้ว และ ใครจะบังคับให้ไม่มีได้
เมื่อวานนี้หมดไปแล้ว ก็มีวันนี้ จะอยาก หรือ ไม่อยาก ก็ต้องมี
แล้ววันนี้ล่ะคะ? กำลังหมดไป จนถึงพรุ่งนี้
ก็ต้องมีสิ่งที่เหมือนอย่างวันนี้แหละ ไม่ได้ต่างกันเลย
คือ มีเห็นบ้าง มีได้ยินบ้าง มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง มีความกังวลใจบ้าง ความเบิกบานบ้าง
แล้วหายไปไหนหมด? ไม่เหลือเลย
นี่คือ เกิดมาเป็นอย่างนี้ คือ ในที่สุด ก็ว่างเปล่า
จากการที่ เกิดมา...แล้วก็หายไป...
แต่ละคน ค่อยๆ หายไปจากโลกนี้ แล้วแต่ว่า ใครจะหายไปก่อน?
หรือว่า ใครยังอยู่ก็อยู่ไป แต่ว่า อยู่ไปตลอดไม่ได้เลย
ในที่สุดก็ต้องหายไป ด้วยการไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด ที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังพระธรรม
ต้องเป็นสิ่งซึ่ง บุคคลนั้น เคยสะสมประโยชน์ ที่รู้ว่า
การ "รู้" กับการ "ไม่รู้"
อะไรดีกว่ากัน?
เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้ฟังพระธรรม ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง แล้วก็พิจารณาอย่างละเอียดด้วย
ว่า ความรู้ กับ ความไม่รู้ อะไรดีกว่ากัน
รู้ดีกว่า ใช่ไหม? แล้วรู้อะไรดีกว่า?
เพราะเหตุว่า ถึงแม้ว่าจะเรียนจบวิชาการมากมาย แต่แล้วก็ตาย
แล้วความรู้นั้นไปไหน?
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าตายไปโดยที่ว่า มีความรู้เรื่องอื่น
แต่ไม่ใช่ความรู้เรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ต่อไปจะเป็นอย่างไร?
เหมือนกับจากโลกก่อน มาสู่โลกนี้ แล้วสิ่งที่เคยสะสมมาจากโลกก่อน
ก็ติดตามมาเป็นคนนี้ หลากหลายกันมาก ตามอัธยาศัยที่สะสม
ซึ่งทุกคนก็จะเห็นได้ ว่าชีวิตของแต่ละคน มีชั่วบ้าง ดีบ้าง
ความชั่ว หรือ สิ่งที่ชั่ว ไม่ได้ให้ประโยชน์เลย ไม่เป็นที่ชื่นชม
เพราะเหตุว่า ไม่ได้นำประโยชน์มาให้
แต่ว่า ความดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นที่ชื่นชม อนุโมทนา
แล้วต่อไปจากโลกนี้แล้ว จะไปเป็นแบบไหน?
ก็เป็นสิ่งซึ่ง ทุกคนจะรู้ได้ ว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ต้องเป็นไปตามเหตุ
ถ้าเหตุในชาตินี้ดี ชาติหน้าเป็นอย่างไร? จะไม่ดีได้ไหม?
แต่ถ้าเหตุในชาตินี้ไม่ดี แล้วชาติหน้าหวังว่าจะเป็นคนดี เป็นที่รัก ที่ชื่นชม ของทุกคน
ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าท่านอาจารย์จะก้าวย่างไปที่ไหน ทุกๆ ก้าวย่างของท่าน เต็มไปด้วยความเมตตา
ที่เกื้อกูลให้ผู้อื่น ได้มีความเข้าใจพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ทรงตรัสรู้และมีพระมหากรุณาแสดงไว้ และ ถูกนำมาถ่ายทอดด้วยความเมตตายิ่ง
ของท่านผู้มีนามว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในชาตินี้
จากวันนั้นถึงวันนี้ คือ ห้าสิบกว่าปีแล้ว ที่ท่านเดินทางไปในทุกที่ อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
เพียงเพื่อเกื้อกูลให้ผู้ที่ได้ฟัง เกิดความเข้าใจพระธรรม แม้เพียงเล็กน้อย
ก็เป็นความปีติโสมนัสของท่านอย่างยิ่งแล้ว เท่านั้นจริงๆ ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงเลย
ข้าพเจ้าติดตามท่านมาหลายปี ไม่เคยมีแม้สักครั้ง ที่เห็นท่านมีอาการเหน็ดเหนื่อย
อ่อนล้าในการแสดงธรรม ในทางตรงกันข้าม ท่านดูอาจหาญ ร่าเริงยิ่ง ในทุกที่ที่ท่านไป
เป็นบุญของข้าพเจ้าแล้ว ที่ได้เกิดมาแล้วได้พบกับท่านในชาตินี้
การได้เกิดมาในชาตินี้ของข้าพเจ้า ไม่สูญเปล่าแล้วจริงๆ
ในวัย ๘๖ ปี ท่านอาจารย์ ยังคงเดินทางต่อไป ต่อไป..และ....ต่อไป...
เพื่อความเข้าใจพระธรรม ที่ถูกต้อง....ของ...ทุกคน....
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาท่านวิทยากร และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ ทุกท่าน
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านอาจารย์วิทยากรทุกๆ ท่าน ท่านผู้จัดการสนทนา และผู้ร่วมสนทนาทุกๆ ท่าน
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยมา ณ กาลครั้งนี้ด้วยครับ
ขออนุโมทนาคุณวันชัยครับ ที่นำภาพมาลงให้ชาวชมรมฯได้อนุโมทนากันอย่างทั่วถึงวันนั้น นอกจากชาวเชียงใหม่ และ กรุงเทพแล้ว ยังมีผู้ที่เดินทางมาจาก ลำพูน ลำปาง และ เชียงรายอีก ทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกัน เพื่อที่จะได้เกื้อกูลกันต่อไป เหมือนที่ท่านอาจารย์ และวิทยากรทุกท่านปฏิบัติกันเสมอมา เป็นบรรยากาศแห่งการเจริญกุศลที่ถูกต้องจริงๆ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาท่านวิทยากร และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ ทุกท่าน
.... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัยและทุกๆ ท่าน ด้วยครับ...
ขอน้อมจิตอนุโมทนาในกุศลจิต ของทุกๆ ท่าน ด้วยเศียรเกล้า
กราบเท้าอนุโมทนาและกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ อย่างสูงครับ
อนุโมทนาคุณวันชัยและขอบคุณมากที่นำพระธรรมและภาพที่ควรอนุโมทนาและน่าชื่นชม
มาให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสไป ได้เห็นและปลื้มใจมากที่ได้เห็น ทำให้เกิดกุศลจิตด้วย
เหมือนได้ไปด้วยตนเอง และ อนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"มีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟังธรรมะ เพราะว่า ได้สะสมบุญแต่ปางก่อน
ทำให้มีความศรัทธา ที่จะเห็นประโยชน์ ของการได้เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ชาตินี้ เป็นชาติปางก่อนของชาติหน้า
กำลังสะสมบุญ ที่ได้กระทำไว้แต่ชาติปางก่อน ของชาติหน้า
คือ เดี๋ยวนี้ ที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมะขึ้น"
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ