อยากทราบว่า 31 ภูมิ มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฏกเล่มใด

 
nano16233
วันที่  29 ก.ค. 2555
หมายเลข  21486
อ่าน  12,374

อยากจะทราบถึง พระไตรปิฎก ที่มีบันทึก เรื่อง ๓๑ ภูมิ เพราะบางคนเขายังต้องอาศัยภพภูมิเป็นที่ตั้งเพื่อให้กลัวการตกไปสู่โลกที่ชั่ว เลยยากจะยกเอาพระไตรปิฎกเป็นที่อ้างอิงจะได้มีหลักมีฐาน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 1 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสูตรที่แสดงในเรื่องภพภูมิต่างๆ มีมากมาย ถ้าแสดงเกี่ยวกับนรก ก็เป็นเทวทูตสูตร ตามลิงก์นี้ ครับ

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 189

ถ้าแสดงเกี่ยวกับภพภูมิ เปรต หรือ แสดง นรกด้วย ก็ใน เปตวัตถุ เล่ม ๔๙ ครับ ส่วนที่แสดงเรื่องสวรรค์ไว้มาก ในพระไตรปิฎก เล่ม ๔๘ ชื่อ วิมานวัตถุ ครับ เป็นต้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 1 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๓๑ ภพภูมิ ได้แก่

อบายภูมิ ๔

มนุษย์ภูมิ ๑

สวรรค์ ๖ ชั้น

รูปพรหมภูมิ ๑๖

อรูปพรหมภูมิ ๔

ทั้งหมดนั้น มีจริงๆ

ข้อคิดที่ควรได้พิจารณาในฐานะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในสุคติภูมิ ดังนี้ :-

ทุกคนที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นผู้ยังปลอดภัยกว่าการเกิดในอบายภูมิ เพราะเหตุว่า ในขณะที่เป็นมนุษย์ ยังมีโอกาสได้เจริญกุศล และ ยังมีโอกาสที่กุศลกรรมจะให้ผลได้ตามสมควรแก่เหตุ, แต่กาลข้างหน้า ซึ่งอาจจะช้าหรือเร็วเพียงใดไม่มีใครทราบได้ ที่จะต้องเปลี่ยนสภาพจากความเป็นบุคคลนี้ไป นั่นก็คือ ตายจากโลกนี้ นั่นเอง

เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะได้ขวนขวายในการเจริญกุศลทุกอย่างจริงๆ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผลของกุศลกรรมทำให้ไปเกิดในอบายภูมิแล้ว นั่นหมายความว่า ย่อมจะขาดการเจริญกุศลอย่างที่มนุษย์จะกระทำได้

เป็นความจริงที่ว่า สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ เวลาที่สิ้นชีวิตลง ละจากโลกนี้ไปแล้ว ไปสู่อบายภูมิได้ทั้ง ๔ คือ จะเกิดเป็นสัตว์นรกก็ได้ เกิดเป็นเปรตก็ได้ เกิดเป็นอสุรกายก็ได้ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ได้ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม,

และก็สามารถไปสู่สุคติภูมิได้ทั้ง ๗ ภูมิ (คือ มนุษย์ภูมิ และ สวรรค์ ๖ ชั้น) แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรมประเภทใด และถ้าเป็นผู้ได้อบรมความสงบของจิตจนถึงขั้นรูปฌาน เมื่อฌานไม่เสื่อม ก็สามารถไปเกิดเป็นรูปพรหมบุคคลได้ ถ้าเป็นผู้อบรมเจริญความสงบของจิตจนถึงขั้นอรูปฌาน เมื่อฌานไม่เสื่อมก็สามารถไปเกิดในภูมิที่ไม่มีรูปเลย มีแต่นามธรรมเท่านั้นได้ (คือ เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล)

และประการที่สำคัญที่สุด คือ ถ้ามีการอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่มีการเกิดอีกเลยไม่ว่าจะเป็นในที่ไหนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและกรรมของแต่ละบุคคล เพราะเหตุว่า ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็ยังจะเกิดในอบายภูมิได้ เมื่อเป็นผลของกุศลกรรม

เพราะฉะนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต ควรอย่างยิ่งที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ สะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ด้วย ถ้าละเลยในสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้ประมาทมัวเมา ประกอบแต่กุศลกรรม เมื่อกุศลกรรมให้ผล ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิแล้ว เมื่อนั้น ก็ไม่สามารถจะโทษใครได้เลย เพราะตนเองเป็นผู้กระทำกรรมไม่ดีเอง ผลที่ไม่ดีก็ย่อมเกิดกับตนเองเท่านั้น ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ครับ.

...ขอบพระคุณ อ. ผเดิม และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 1 ส.ค. 2555

เรื่องนรกสวรรค์ มีจริงตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ แม้ว่าเป็นสิ่งที่ปุถุชนมองไม่เห็น แต่ทุกคนก็เคยเกิดมาแล้วทั้งในอบายภูมิและสวรรค์ และ ชาตินี้ เป็นลาภอันประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบธรรมะ ได้พบบัณฑิต ก็อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nano16233
วันที่ 1 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนา

สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 1 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
sutep
วันที่ 2 ส.ค. 2555

ขอบคุณ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pat_jesty
วันที่ 2 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Nataya
วันที่ 8 ม.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 23 มิ.ย. 2564
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ