* ทำไมชอบทรมานตัวเอง *
วันนี้วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ก.ค. ๒๕๕๕ ซึ่งใกล้กับวันอาสาฬหบูชา มูลนิธินำพระสูตร “ธัมมจักกัปปวตตนสูตร” มาสนทนา ซึ่งมีข้อความโดยย่อว่า ทางที่ไม่ควรเสพ ๒ อย่าง คือ ทางที่บำรุงตนให้พรั่งพร้อมด้วยความสุขในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และทางที่ทรมานตนให้ลำบากด้วยประการต่างๆ มีอดอาหารเป็นต้นว่า นั่นเป็นทางที่ไม่ควรเสพ แต่ควรเจริญทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทาอันประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ มี
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก
สัมมาสังกัปปะ ความคิดชอบ
สัมมาวาจา วาจาชอบ
สัมมากัมมันตะ การงานชอบ
สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
สัมมาวามายะ เพียรชอบ
สัมมาสติ ระลึกชอบ และ
สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ เป็นต้น
เมื่อยังเด็ก คิดว่า เราอยู่ในทางสายกลางแล้ว เพราะไม่ได้หมกมุ่นในกามคุณ (คิดแบบเด็กๆ ว่า หมายถึงความสุขทางเพศ) และไม่เคยทรมานด้วยการอดข้าวอดน้ำแต่อย่างไร แต่เมื่อได้มาศึกษาพระธรรมพอเข้าใจบ้าง ก็รู้ว่า ยังห่างไกลทางสายกลางแม้แต่การเริ่มต้น (สำนวนของท่านอาจารย์) เพราะยังไม่เข้าใจว่า เกือบทุกขณะนั้นเป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส ซึ่งเป็นกามคุณแล้ว แต่คิดว่าตนเองไม่เคยทรมานตนเลย เพราะพอหิวก็เริ่มแสวงหาอาหาร พอร้อนก็หาที่เย็นๆ พอเบื่อๆ ก็แสวงหาความเพลิดเพลินต่างๆ ไม่เคยปล่อยให้ความรู้สึกไม่สบายกายเกิดขึ้นนานเลย
แต่เมื่อได้มาฟังท่านอาจารย์ถามในวันนี้ว่า “ทำไมชอบทรมานตัวเอง?” จึงได้ทราบว่า การทรมานตนนั้น ไม่ใช่แต่การทรมานกายเท่านั้น แต่ยังมีการทรมานตัวเองให้เร่าร้อนด้วยการหมกมุ่นด้วยความคิดที่ไม่ดี เนื่องจากจิตไม่ดี แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า กำลังคิดไม่ดี ซึ่งเป็นอกุศลจิตเกิดขึ้นทำร้ายตัวเอง อกุศลจิตเกิดเมื่อไร กำลังทรมานตัวเองเมื่อนั้น ทรมานให้จิตใจเร่าร้อนด้วยความโกรธบ้าง ด้วยความเพลิดเพลินติดข้องบ้าง ทั้งนี้ก็ด้วยความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลย เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปเท่านั้น อย่างที่ท่านกล่าวว่า “ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่” จริงๆ
ขณะที่อกุศลจิตเกิด คิดทำร้ายคนอื่นด้วยความโกรธนั้น คนอื่นไม่เดือดร้อนเลย อกุศลจิตของคนอื่นก็ติดตามคนอื่นไป อกุศลจิตหรือกิเลสของตนเองก็ติดตามตนเองไป กิเลสเป็นศัตรูภายใน เป็นมลทิน เพราะสามารถติดตามไปในภพต่อๆ ไป ให้ผลเป็นทุกข์ทั้งกายและใจไม่สิ้นสุด ไม่เหมือนกุศลธรรมซึ่งเปรียบเหมือนมิตรดีที่ติดตามไปช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนในภพต่อๆ ไป
เมื่อได้ฟังแล้ว ก็รู้ตัวเองว่า ยังห่างไกลแม้แต่การรู้จักคำว่า “ทางสายกลาง” เพราะตกอยู่ในทางสุดโต่ง ๒ ทางที่ไม่ควรเสพอยู่ตลอดเวลา และก็ยังไม่รู้ตัวว่า แม้ในขณะนี้ก็เป็นไปด้วยการทำให้ตัวเองเป็นสุขในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ หรือไม่ก็ทรมานตนด้วยความคิดที่เป็นอกุศล ไม่เมตตาคนอื่น มีแต่คนอื่นผิด ไม่ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้ มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ทำถูก คิดจนตัวเองไม่สบายใจ และอาจมากขึ้นจนถึงทำให้ไม่สบายกาย ปวดหัว นอนไม่หลับ ก็ยังไม่รู้ว่า เพราะความคิดไม่ดีของตัวเอง ยังโทษว่าเพราะคนอื่นทำไม่ถูกอีก ทั้งๆ ที่ถ้าเกิดเมตตาทันที เห็นแล้วเป็นเพื่อนทันที ใจก็จะเบาสบาย มีความสุข แต่ก็ยังไม่เกิดเมตตา
ท่านอาจารย์กล่าวว่า ที่เมตตาไม่ได้ เพราะยังมีตัวตน แต่ถ้ารู้เมื่อไรว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่สภาพธรรมที่เกิดปรากฏเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลยด้วย เมื่อนั้นก็จะให้อภัยและเมตตาได้
ก็ต้อง “ทำดี และศึกษาพระธรรม” ต่อไป เพื่อให้มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะยากก็ต้องศึกษา เพราะแม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงทราบว่า พระธรรมนั้นละเอียดลึกซึ้ง ยากแสนยากที่ปุถุชนที่มืดบอดจะรู้ตาม พระองค์ก็ยังทรงสอน ด้วยพระมหากรุณาคุณที่มากมายสุดประมาณได้ แล้วเราที่โชคดีได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ได้ยากนี้แล้ว จะไม่เพียรพยายามศึกษาต่อไป หรือยังอยากทรมานตัวเองด้วยอกุศลธรรมต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้ไม่สิ้นสุด
คนที่ศึกษาธรรมและคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ต่างก็ทรมานตัวเองด้วยความคิดที่เป็นอกุศล แต่ ... คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรม อกุศลจิตเกิดก็เกิดไป ก็ได้แต่สั่งสมแต่อกุศล ส่วนคนที่ศึกษาธรรม แม้อกุศลจิตจะเกิด (เพราะบังคับบัญชาไม่ได้) ถึงกระนั้นปัญญาก็ยังสามารถพิจารณาสภาพธรรมที่เกิดนั้นได้ว่า "ไม่ใช่เรา"
คงต้อง "ทรมานตัวเอง" กันต่อไปค่ะ จนกว่าจะพบทางสายกลางจริงๆ
ขออนุโมทนาอาจารย์กาญจนาค่ะ ที่ได้นำคำสอนของท่านอาจารย์ อันเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
"ถ้าเกิดเมตตาทันที เห็นแล้วเป็นเพื่อนทันที ใจก็จะเบาสบาย มีความสุข"
เป็นเครื่องเตือนสติที่ดีมากๆ เลยครับ ปลดการทรมานใจไปได้ ณ ขณะนั้นทีเดียว
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง และทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ขณะที่อกุศลจิตเกิดคิดทำร้ายคนอื่นด้วยความโกรธนั้น คนอื่นไม่เดือดร้อนเลย อกุศลจิตของคนอื่นก็ติดตามคนอื่นไป อกุศลจิตหรือกิเลสของตนเองก็ติดตามตนเองไป กิเลสเป็นศัตรูภายใน เป็นมลทิน เพราะสามารถติดตามไปในภพต่อๆ ไป ให้ผลเป็นทุกข์ ทั้งกายและใจไม่สิ้นสุด ไม่เหมือนกุศลธรรมซึ่งเปรียบเหมือนมิตรดีที่ติดตามไปช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนในภพต่อๆ ไป"
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. กาญจนา และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ...
ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ...
เมื่อเมตตาเกิด ขณะนั้นไม่เดือดร้อน เบาสบาย ไม่ทรมานตัวเองเลย เพราะทุกขณะที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นทรมานตัวเองขณะที่มีความเข้าใจว่าจริงๆ แล้วทุกขณะเป็นเพียงจิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นแล้วดับไปทุกๆ ขณะ ไม่มีบุคคลนั้นที่เรากำลังโกรธ เอาชื่อออกหมดก็มีเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แล้วจะโกรธสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป หรือ จะทรมานตัวเอง เผาผลาญตัวเองเพราะคิดไม่ดี หรือขณะที่คิดดีขณะนั้นจิตดี เมตตาเกิดขณะใด มีความเป็นเพื่อน ให้ความไม่มีภัย พร้อมที่จะเกื้อกูล ขณะนั้นไม่ทรมานตัวเอง
...กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. กาญจนา และทุกๆ ท่านด้วย...
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนา คุณป้าแดง ครับ
วันนี้ก็ยังชอบทรมานตนเองอยู่ด้วยอกุศล มีทั้งโลภะ มานะ และ โทสะ เต็มไปหมด
เพราะฉะนั้นเมื่อทราบความจริง ว่าเป็นอย่างนี้ ว่าเป็นธรรม ก็เป็นประโยชน์
การรู้เท่าทันเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง เป็นความสุขอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดง พี่เมตตา และทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงตัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง
เหตุที่ทรมานตนอยู่เพราะไม่รู้ว่ากำลังทรมาน เป็นแต่เพียงการเพลินชอบ เพลินชัง เพลิดเพลินไปเรื่อยๆ และก็หลงมานานแสนนานจึงเป็นผล ณ ปัจจุบัน การที่จะไม่ทรมานตนอีกต่อไป คือ ต้องเห็นว่า ขณะนี้ทุกข์ ขณะนี้ทรมาน ขณะหน้าก็ยังมาไม่ถึง อดีตก็ผ่านไปแล้ว จึงควรยิ่งที่เห็นจริงว่าขณะนี้ทุกข์ และขณะนี้ก็เกิดแต่เหตุ จึงจะเริ่มเห็นหนทางที่ดับการทรมานไม่ให้สืบต่อกันอีกต่อไป สูงสุดแห่งกัลยาณมิตรคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงแสดงที่สุดแห่งทุกข์คือความสิ้นทุกข์สิ้นทรมาน
ขออนุโมทนาครับ