มีข้อสงสัยในเรื่องการบรรลุโสดาบันในสมัยพุทธกาล

 
best46
วันที่  13 ส.ค. 2555
หมายเลข  21556
อ่าน  2,601

ผมมีความสงสัย ใคร่ขอเรียนถามครับว่า คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า เราสามารถบรรลุธรรม ได้ด้วยการหลับตาทำสมาธิ ฉะนั้นผมจึงอยากจะทราบว่า ในสมัยพุทธกาลมีบุคคลท่านใดบ้างครับที่บรรลุโสดาปัตติผลด้วยการพิจารณาองค์ฌาน แล้วอาจจะทำให้คนทั่วไปที่อ่านเกิดความเข้าใจผิดได้เป็น ๒ อย่างว่า บุคคลท่านนี้บรรลุโสดาบันด้วยสมถภาวนา หรือบรรลุด้วยการหลับตาทำสมาธิ แล้วผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันในสมัยนั้นโดยมากบรรลุด้วยการฟังพระธรรมใช่ไหมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประเด็นแรก การนั่งสมาธิ กับ การเจริญสมถภาวนา

- ก่อนอื่น เราจะต้องแยกระหว่าง การนั่งสมาธิ กับ การเจริญสมถภาวนา ว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ซึ่ง การเจริญสมถภาวนา คือ การเจริญความสงบ

สงบในที่นี้ หมายถึง สงบเพราะ เป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล ซึ่งจะต้องมีปัญญา รู้ว่าขณะใดที่สงบ เป็นกุศลจึงจะเจริญได้ แต่ไม่ได้หมายถึง การที่จะจดจ้องอยู่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด แล้วจะเป็นความสงบที่เป็นกุศล ครับ

ดังนั้น การนั่งสมาธิในสมัยปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องของการที่ไม่มีปัญญา เข้าใจว่า ความสงบ คืออะไร เพราะ สำคัญว่า ความสงบ คือ การที่จิตไม่ซัดส่ายไปที่ใดที่หนึ่ง ชื่อว่สงบแล้ว ซึ่งนั่นไม่ใช่ลักษณะของความสงบที่เป็นกุศล แต่เป็นลักษณะของสมาธิ ซึ่ง สมาธิ มีทั้ง มิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีปัญญา ก็เป็นการนั่งด้วยความไม่รู้ ก็ไม่ใช่การเจริญสมถภาวนา ครับ นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่แยกระหว่าง การนั่งสมาธิ กับ การเจริญสมถภาวนา

ประเด็นที่สอง คือ หนทางการดับกิเลส คืออย่างไร

- สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา ล้วนเป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา เพราะ ต่างก็เป็นกุศลธรรม แต่ กุศลธรรมอะไรที่จะทำให้ถึงการดับกิเลสได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดง การเจริญวิปัสสนา หรือ สติปัฏฐาน ๔ ที่เป็นการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็น จิต เจตสิก รูป แต่ การเจริญสมถภาวนา เป็นเพียงการระงับกิเลสไม่ให้เกิดชั่วคราว แต่ไม่สามารถดับกิเลสได้ ครับ

ดังนั้น แม้อบรมสมถภาวนาได้ฌานขั้นสูงสุด แต่ไม่มีความเข้าใจเรื่องการเจริญวิปัสสนา ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ ดังเช่น อาจารย์ของพระโพธิสัตว์ มีอุททกดาบส และ อาฬารดาบส เป็นต้น

ประเด็นที่สาม การพิจารณาองค์ฌานดับกิเลสได้อย่างไร

- ในสมัยพุทธกาล เรียกว่า เป็นกาลสมบัติ เป็นช่วงเวลาที่ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา บารมี มาเกิดโดยมาก ดังนั้น ก็มีผู้ที่สามารถได้ฌาน และ มีความเข้าใจในเรื่องการเจริญวิปัสสนา เพราะฉะนั้น ท่านเหล่านั้น ก็อบรมฌานได้ฌาน เมื่อได้ฌานแล้ว ก็พิจารณาองค์ฌาน ที่เป็นเจตสิก หรือ พิจารณา จิตที่เป็นฌานว่าไม่เที่ยง ด้วยการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุธรรม

ดังนั้น การบรรลุธรรมด้วยการเจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ด้วยการเจริญฌาน สมถภาวนา เพียงแต่ ฌาน สามารถเป็นอารมณ์ เป็นที่ตั้งของสติและปัญญาที่เป็นวิปัสสนาให้รู้ความจริงได้ ครับ

แต่ประเด็นที่สำคัญ คือ ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่บรรลุเป็นพระอริยเจ้า มีพระโสดาบัน จนถึง พระอรหันต์ ก็มีที่ไม่ได้อบรมฌาน ไม่ได้เจริญสมถภาวนา แต่ก็บรรลุธรรม ก็มีด้วย ที่สำคัญ มีมากกว่า ผู้ที่ได้ฌานและบรรลุธรรม นี่คือแม้แต่สมัยพุทธกาล ผู้ที่ได้ฌานและบรรลุธรรมยังมีน้อยกว่า ผู้ที่ไม่ได้ฌานและบรรลุธรรม ครับ

ซึ่ง ข้อความในพระไตรปิฎกได้แสดงไว้ครับว่า ผู้ที่บรรลุได้นิพพานเป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ฌาน คือ เอกัคคตาเจตสิก มีมากกว่า ผู้ที่ได้ฌานและบรรลุธรรม ครับ

[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 206

สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้วได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว ไม่ได้สมาธิไม่ได้เอกัคคตาจิต มากกว่าโดยแท้


ซึ่ง ส่วนมาก ท่านเหล่านี้ ที่ไม่ได้ฌานและบรรลุธรรม ก็เพราะอาศัยการฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า และ จากพระสาวก ไปแสดงธรรมให้ท่านฟัง ท่านก็พิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้นและบรรลุธรรม มีพระโสดาบัน เป็นต้น ครับ มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา และอีกมากมาย ครับ

จึงกล่าวได้ว่า ไม่จำเป็นจะต้องเจริญสมถภาวนาก่อนจึงจะเจริญวิปัสสนาได้ หรือ ปัจจุบัน สำคัญว่าจะต้องกำหนดนั่งสมาธิก่อน จึงจะเจริญวิปัสสนาได้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 13 ส.ค. 2555

ซึ่งหากเราย้อนมาที่คำว่า สาวก ก็จะเข้าใจว่า สาวก หมายถึง ผู้สำเร็จด้วยการฟัง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใคร จะได้ฌานและได้วิปัสสนาบรรลุธรรม หรือ ไม่ได้ฌาน เจริญวิปัสสนาอย่างเดียวบรรลุธรรม ก็ล้วนแล้วแต่จะต้องอาศัยการฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อนเสมอ ครับ

ซึ่งกระผมจะขอยกข้อความที่แสดงถึงว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน จะต้องประกอบด้วย ๔ ประการ ซึ่ง ขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลย ครับ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 279

๕. ทุติยสาริปุตตสูตรว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา

[๑๔๒๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร ที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน.

[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ คือ

สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑

สัทธรรมสวนะฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑

โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑

ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑.

[๑๔๒๙]

พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ

สัปปุริสสังเสวะ ๑

สัทธรรมสวนะ ๑

โยนิโสมนสิการ ๑

ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑


จะเห็นนะครับว่า การจะบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ขาดการฟังพระธรรมไม่ได้ เพราะปัญญา ที่เป็นธรรมที่ทำให้ถึงการดับกิเลส และบรรลุเป็นพระอริยบุคคล จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะ อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นสำคัญ ครับ

ดังนั้น การทำอะไรด้วยความไม่รู้ โดยขาดการฟัง กาศึกษาให้เข้าใจก่อน ย่อมไม่สามารถทำให้ถึงการบรรลุธรรมได้ ครับ และ ไม่ว่ายุคใด สมัยใด จะบรรลุธรรมได้ก็เพราะมีปัญญาเป็นสำคัญ อันเกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 14 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หนทางที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลส ต้องเป็นหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา จะขาดความเข้าใจถูกเห็นถูกไม่ได้ ถ้าเดินตามทางอื่น อันไม่ใช่หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง เช่น ไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความเป็นตัวตน จดจ้อง เป็นต้น ย่อมไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้เลย

จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสังขารธรรม (ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิก และรูป) ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ถ้าหากว่าไม่มีการฟัง ไม่มีการศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้ มีแต่จะสะสมความไม่รู้ต่อไป ไม่สามารถที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

แต่ถ้าหากเริ่มจากการฟัง ด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ก็เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ปัญญาเจริญขึ้น สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ได้ สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นว่า ขณะนี้ เป็นธรรม และ ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เป็นธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ โดยไม่ปะปนกัน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนในสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ไม่ได้เลย ปัญญาเท่านั้นที่จะทำกิจนี้ คือ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ได้ แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่เริ่มสะสมตั้งแต่ในขณะนี้จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจเลย มีให้ศึกษาอยู่ขณะจริงๆ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย

และที่สำคัญ แต่ละบุคคลสะสมอัธยาศัยมาไม่เหมือนกัน แม้จะเจริญสมถภาวนา ถ้าไม่ได้อบรมเจริญวิปัสสนาที่จะรู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถเป็นบาทให้วิปัสสนาเกิดได้ และไม่ใช่หนทางที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ด้วย แต่ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนา ด้วย และ เจริญวิปัสสนา ด้วย สมถภาวนาจึงจะเป็นบาทให้วิปัสสนาเจริญได้ เพราะองค์ฌานต่างๆ นั้น ก็เป็นธรรมที่มีจริงๆ เป็นฐานหรือที่ตั้งให้สติปัญญารู้ตามความเป็นจริงได้ หรือ แม้ไม่ได้อบรมเจริญสมถภาวนา แต่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ที่เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนา ก็สามารถดำเนินไปถึงซึ่งการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ เพราะหนทางที่จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ดับกิเลส มีทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญา ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 14 ส.ค. 2555

คนที่เกิดในครั้งพุทธกาล เป็นคนที่ได้สะสมบุญมามาก ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม และ ที่สำคัญ เหตุปัจจัยพร้อม ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่เพราะนั่งหลับตาแล้วบรรลุ

ขนาดอาจารย์ของพระโพธิสัตว์ได้ฌานสมาบัติ ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เพราะเหตุปัจจัยยังไม่พร้อม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
munlita
วันที่ 14 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 14 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
best46
วันที่ 15 ส.ค. 2555

กล่าวได้ชอบแล้วครับ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างมากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 15 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 15 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 17 ส.ค. 2555

สภาพธรรมมีอยู่ในขณะที่ลืมตา ยังไม่รู้

นั่งหลับตาแล้วจะเข้าใจอะไร?

การบรรลุธรรมคือการเข้าใจความจริงที่กำลังมีอยู่ขณะนี้

ไม่ว่าทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ไม่ว่าเกิดกับบุคคลใด ก็ไม่พ้นไปจากความจริงนี้

ซึ่งเป็นชีวิตปกติธรรมดา ที่เราควรทำความเข้าใจ

การไปทำอะไรให้ผิดจากปกติ ก็เท่ากับเป็นการสร้างตัวตนขึ้นมาอีก

แทนที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ