กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว
ผมทำงานทางด้านบริการ จะต้องพบปะผู้คนหลากหลาย ปัญหาของผมก็คือไม่กล้าที่จะพบหรือพูดคุยเพราะในขณะที่พูดคุยนั้นจะมีอาการกลัว และเคอะเขินพูดต่อไปไม่ได้เลย ทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่เป็น เลยทำไห้เกิดความกลัว ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าต่อผู้คน (เป็นมาประมาณสามปีแล้วครับ) ทำไห้มีปัญหาในการทำงานมาก ผมกลุ้มใจมาก ไปหาหมอที่จุฬารักษามาสองปีกว่าแล้ว ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หาย ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ ถ้ามีอาการมาก ผมต้องกินเหล้าเพื่อไห้อาการประหม่านี้หายไปซึ่งก็ช่วยได้ แต่ผมต้องดื่มเหล้าเกือบทุกวันเพื่อไห้ตัวเองรู้สึกดีจนกลายเป็นความเคยชินจนรู้สึกเป็นเรื่องปกติ ผมอยากเลิกแต่ทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมสามารถเลิกเหล้าได้มาแล้วประมาณ 10 ปี หลงดีใจคิดว่าตัวเองเลิกได้ ยิ่งศึกษาธรรมฟังธรรมยิ่งคิดมาก เมื่อก่อนเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่มีความรู้สึกว่ามันก็ยังไม่จบอยู่ดี เพราะชาตินี้ยังแก้ไม่หาย ชาติต่อไปก็ต้องเป็นเหมือนเดิมอีก ยิ่งรู้ว่ามีโทษมากก็ยิ่งคิดมาก วันหยุดก็อยู่แต่ในบ้านไม่กล้าออกไปไหนกลัวว่าจะต้องพบคนที่รู้จักแล้วก็ต้องคุย อาการก็กำเริบอีก ขอความกรุณาผู้รู้ช่วยแนะนำเรื่องความกล้าในสิ่งที่ควรกล้า และกลัวในสิ่งที่ควรกลัวด้วยเถิดครับ
ขอบคุณครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้กล้าหาญ เป็นผู้องอาจไม่มีความสะทกสะท้านจากภัยใดๆ เลย เพราะพระองค์ทรงมีพระคุณธรรมอันใหญ่หลวงไม่มีใครเปรียบปาน แม้พระอรหันตสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้กล้าหาญ ไม่มีความขาดกลัวเลย เพราะท่านเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยคุณธรรม แม้พระอริยสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้กล้าหาญเช่นกัน เพราะท่านเหล่านั้นมีคุณธรรมอันประกอบด้วย ศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณเป็นต้น ดังนั้น หากเราพึงหวังเป็นผู้กล้าหาญ ไม่กลัวภัยใดๆ แม้ความตายก็ไม่กลัวพึงอบรมคุณธรรม ดังเช่นกับพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งที่ท่านได้อบรมแล้วเถิดโดยเริ่มต้นตั้งแต่ศึกษาพระธรรมคำสอน ค่อยๆ สะสม ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา
ดิฉันขออนุญาตพูดคุยกันกับคุณแดงในฐานะกัลยาณมิตรคนหนึ่งนะคะ
ดิฉันเห็นใจคุณแดงมากค่ะ คุณแดงคะ คุณแดงศึกษาและฟังธรรม มานานแล้วหรือยังคะ? ไม่ทราบว่าคุณแดงคุ้นเคยกับคำสอนที่ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงในโลกนี้คือธรรมทั้งหมด " ไม่ใช่เรา " หรือไม่คะ?
อาการกลัว คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง มีจริงๆ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร เป็นธรรมประเภทอกุศลอย่างหนึ่ง ขณะที่สภาพธรรมนี้ หรือความรู้สึกนี้เกิดขึ้น คุณแดงเคยสังเกตลักษณะของเค้าบ้างไหมคะ? ว่าเค้ามีลักษณะ เป็นอย่างไร? ถ้าหากว่าคุณแดงฟังธรรมมานานพอสมควรและมีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ธรรมต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังมา หรือได้อ่านมา ไม่ได้อยู่แต่ในหนังสือหรือในเทป แต่ มีเกิดขึ้นจริงๆ
เพราะฉะนั้นเมื่อ อาการกลัว เกิดขึ้นควรที่จะพิจารณาไหมคะ? ที่จริงดิฉันเองก็เคยมีอาการกลัวแบบรุนแรงเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งในอดีต จนต้องปลุกสามีขึ้นในตอนดึกหลายต่อหลายครั้ง เพราะนอนไม่ได้ และสามีก็ได้บอกกับดิฉันว่า ..เป็นโอกาสทองแล้วรู้ไหม ที่จะได้ศึกษาและรู้จักลักษณะของสภาพนั้นคือ..กลัว….. เค้าบอกว่าควรไหมที่จะให้โอกาสทองนั้นหลุดลอยไป เพราะว่าเมื่อสภาพธรรมนั้นๆ ดับไปแล้ว ก็ดับไปเลยไม่กลับมาอีก
และอีกอย่างหนึ่ง ..กลัว….. ก็ไม่ใช่ของเรา หรือของใคร เป็นเพียงแค่สภาพธรรมหนึ่งเท่านั้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป… เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป.. เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ...เท่านั้นเอง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดิฉันก็แทบจะไม่เคยเจออาการกลัวแบบนั้นอีกเลย จนกระทั่งบัดนี้ค่ะ
ดิฉันหวังว่าที่ได้พูดคุยมาคงจะเป็นประโยชน์แก่คุณแดงบ้างไม่มากก็น้อย กินเหล้าก็ไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลสหนาๆ ของเราได้ ไม่มีอะไรอื่นที่จะทำลายอกุศลได้นอกจากปัญญาเท่านั้นค่ะ
ขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจ ให้คุณแดงเต็มเปี่ยม และดิฉันมั่นใจว่าคงจะมีอีกหลายๆ ท่านที่ร่วมสนทนาบนเว็บนี้ก็คงจะเป็นกำลังใจให้คุณแดงเช่นกันค่ะ อย่าท้อนะคะ
การหมั่นเพียรที่จะอบรมศึกษา และ พิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งนำใช้มาเป็นบรรทัดฐานในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอเนืองๆ ก็จะนำไปสู่ความเห็นถูก เมื่อเห็นถูก ก็ประพฤติถูก เมื่อประพฤติถูก ก็จะไม่มีความกลัวอะไรเลยมีแต่ความอาจหาญร่าเริงในธรรม เจริญในธรรมยี่งขึ้น ส่งเสริมให้มีความมั่นใจในการทำงาน การดำรงชีวิต ช่วยเสริมสร้างคุณธรรมที่ดีงามแก่สังคมและประเทศชาติ .....
ฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจความเป็นจริง อย่ากลัวความจริง เพราะการเข้าใจความจริงสามารถช่วยให้หายกลัวได้ ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ความกลัวเกิดบ่อยๆ เมื่อฟังธรรมแล้วทำให้เข้าใจว่า เรากลัวความคิดของเราเอง โลกนี้เต็มไปด้วยความคิด จากสิ่งที่เห็นสั้นมากนิดเดียวแล้วสืบต่อความทรงจำ อยากให้ลองฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจความจริงของการเกิดขึ้นของความกลัว คน สัตว์ สิ่งของ ที่เรากลัวนั้น ในความเป็นจริงแล้วไม่มีมีแต่จิตที่คิด ที่บ้านธัมมะมีหนังสือ บุญกริยาวัตถุ 10 เมตตา ที่กล่าวถึงสภาพธรรมที่ตรงข้ามกับโทสะ ลองหาอ่านดูค่ะ ขอเป็นกำลังใจด้วยคนค่ะ
ขอเอาใจช่วยให้สามารถผ่านช่วงชีวิตที่เราคิดว่าแย่มากๆ ไปได้ด้วยดี โดยตั้งต้นที่ลองค่อยๆ ทบทวนว่า พระผู้มีพระภาคทรงสอนว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะและเป็นอนัตตา เกิดดับตามเหตุปัจจัย ความกลัวที่เกิดขึ้นกับคุณแดงก็เช่นเดียวกับสภาพธรรมะอื่นๆ คือเกิดแล้วก็ดับไป มีแต่ความคิดปรุงแต่งในทางอกุศลที่ทำให้เรามีทุกข์ทางใจมากขึ้น
ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ให้คำแนะนำ ผมจะพยายามทำ แต่ก็รู้ว่ามันยากมากเพราะผ่านมาสามปีแล้วแต่ก็ยังไม่หาย แต่ก็ดีขึ้น ผมศึกษามาพอสมควร หลงผิดก็นาน คือเมื่อก่อนพยายามไปที่สำนักต่างๆ เพราะต้องการอยากจะรู้ว่า จริตของตนเองนั้นคืออะไร สุดท้าย ก็เข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองแสวงหานั้นมันไม่ใช่ ดีใจมากที่ได้มีโอกาสได้ฟังอาจารย์สุจินต์ พอได้ฟังก็รู้ว่าสิ่งที่ตนเองดิ้นรนหานั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนอยู่ที่นี่นั่นเอง แต่ก็ยังเล็กน้อยมากสำหรับผู้ฟังอย่างผม ยังมีสิ่งที่ควรศึกษาอีกมากมายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าจะพบกับคำว่าหลุดพ้นซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน ขอขอบคุณทุกๆ ท่านอีกครั้งที่ให้กำลังใจผม ดีใจมากที่ได้พูดคุยกับทุกท่านทำให้คลายความกังวลลงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่หายกลัว พยายามคิดตามที่ทุกท่านกล่าวมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรจึงไม่หายกลัว คงเป็นเพราะวิบากกรรมที่มีมากมายจึงได้เป็นเช่นนี้
ขอบพระคุณมากครับ ขออนุโมทนากับท่านที่หายกลัวแล้ว ผมจะพยายามต่อไปครับ
วันนี้ดิฉันได้ไปที่มูลนิธิฯ มาค่ะ และมีอยู่ตอนหนึ่งของการสนทนาธรรมในช่วงบ่าย ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านได้กล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นความจริงที่ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้เลย และเป็นประโยชน์มากๆ ต่อชีวิตของพวกเราทุกคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์นี้ เลยทำให้ดิฉันนึกถึงคุณแดงและท่านอื่นๆ ที่อ่านหัวข้อนี้ด้วยขึ้นมาก็เลยอยากเอามาฝากให้เป็นข้อคิดแก่คุณแดงและท่านอื่นๆ ลองพิจารณาดูว่า.......เป็นความจริงหรือไม่?
ท่านได้กล่าวว่า
"ทุกข์มีเมื่อไร มีเมื่อคิด" เพราะฉะนั้น "ความกลัวมีเมื่อไร ก็มีเมื่อคิด" เช่นกัน หยุดคิดเมื่อไร ก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีความกลัว และที่กลัวและที่ทุกข์ ก็เพราะความมีตัวตนนั่นเอง และที่ดิฉันเคยได้ยินจนติดหูเลย คือ เราอยู่ในท้องทะเลแห่งความคิด หวังว่าคำพูดเหล่านี้จากท่านอาจารย์สุจินต์ คงจะช่วยคุณแดงได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
ขออนุโมทนาทุกท่านที่มีความปรารถนาดีและเป็นกัลยาณมิตรต่อทุกๆ คน และเว็บไซต์นี้ทำให้ดิฉันรู้สึกอบอุ่นเหมือนมีญาติสนิทที่คอยให้คำแนะนำด้วยความจริงใจ หากวันใดวันหนึ่ง ดิฉันมีปัญหาที่คับแค้นใจ หรือแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ก็คงต้องขออนุญาตพึ่งกัลยาณมิตรทุกๆ คนที่อยู่บนเว็บฯ นี้ให้คำแนะนำอย่างแน่นอน
อนุโมทนาค่ะ
คุณ daeng คะ,
เคยลองพิจารณาค้นหาสาเหตุของความกลัวที่ว่านั่น...ว่ามาจากอะไรบ้างหรือเปล่าคะ? ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด ไม่มีสิ่งใดเลยในโลกนี้ที่เกิดขึ้นมาลอยๆ นะคะจะแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่เหตุ จะดับทุกข์ก็ต้องดับที่เหตุของทุกข์ การหลบหนีไม่ใช่วิธีที่แก้ปัญหาที่ถูกต้องเลยนะคะ (เช่นการดื่มเหล้า หรือไม่ยอมออกไปไหน) หนีเท่าไรก็หนีไม่พ้นหรอกค่ะ สู้หันกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงดีกว่า ถือว่าเป็นโอกาสทองของชีวิต เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เพื่อที่จะได้เข้าใจชีวิตได้ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ
ขอเป็นกำลังใจอีกคนหนึ่งนะคะ
และขออนุโมทนาในคำแนะนำของท่านอื่นๆ ด้วย
เท่าที่ฟังคุณแดงเล่ามาถ้าในทางการแพทย์น่าจะเป็นอาการที่เรียกว่า social phobiaเป็นอาการวิตกกังวล กลัวเวลาอยู่ในที่ๆ มีคนเยอะๆ หรืออยู่ในที่สาธารณะ การดื่มสุราเพื่อลดความกลัวจะยิ่งทำให้เกิดการติดสุรามากยิ่งขึ้นจริงๆ แล้วอยากจะแนะนำให้ลองไปพบจิตแพทย์ดูก่อนนะค่ะ อาจจะได้ยามาทาน หรืออาจจะได้รับการทำจิตบำบัด แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นบ้าหรือเป็นโรคจิตนะคะ (มีหลายคนที่แนะนำไปพบจิต-แพทย์แล้วคิดว่าตนเองเป็นบ้า จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย) แต่ถ้าคุณได้ศึกษาธรรมก็ค่อยๆ พิจารณาจะเห็นว่า ทุกคนต่างก็มีความกลัว ความเครียด ความวิตกกังวล แต่จะมากหรือน้อยแล้วแต่กรรมและการสะสมของแต่ละคน ค่อยๆ ศึกษาธรรมไปนะคะ อย่าเร่งรีบหรือใจร้อนอยากรู้อยากเข้าใจเร็วๆ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนทางมูลนิธิฯ มีผู้รู้ที่จะช่วยตอบคำถามหรือข้อสงสัยได้ค่ะ แต่คุณควรจะได้รับการรักษาทั้ง 2 ด้านค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้คุณหายไวๆ นะคะ และขออนุโมทนาในคำแนะนำของท่านอื่นๆ ด้วยค่ะ
วันนี้ผมดีใจมากที่ได้อ่านคำแนะนำจากกัลยาณมิตรทุกๆ ท่าน ขอบพระคุณพี่namarupa ที่เป็นกำลังใจให้ และคำแนะนำจากท่านอื่นๆ ทุกท่าน เหมือนอย่างที่พี่namarupa กล่าวไว้ว่าเว็บไซต์นี้ทำให้อบอุ่นจริงๆ เข้ามาแล้วผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ทุกๆ ท่านเป็นมิตรอย่างแท้จริงซึ่งหายากมากในสมัยนี้ ชีวิตผมคลุกคลีกับอบายมุขมามากมาย หาเพื่อนที่จริงใจที่จะช่วยเหลือแม้เพียงคำพูดก็ยากเหลือเกิน พอมาอยู่ในนี้มีความสุขมาก ได้อ่านได้พูดคุยในสิ่งที่เราไม่สามารถพูดกับใครได้ แม้จะไม่รู้จักใครเลยแต่ทุกท่านก็เมตตามากเหลือเกิน รู้มั้ยครับสิ่งเหล่านี้ทำให้ผมมีกำลังใจมาก ที่คุณdevout แนะนำมาผมก็พยายามแล้วครับ ผมเป็นคนที่คิดมาก เวลามีปัญหาอะไรก็จะถามตัวเองเสมอว่าสาเหตุมาจากอะไร เพราะอะไร สุดท้ายเมื่อไม่มีคำตอบที่ดีที่สุดก็สรุปว่าเพราะกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เป็นเพียงการปลอบใจตัวเองที่ดีที่สุดเท่านั้นเพราะก็ยังไม่หายกลัวอยู่ดี คำแนะนำของ คุณ vad นั้น ผมได้ไปหาหมอที่ รพ. จุฬา แผนกจิตเวชรักษามาประมาณเกือบสามปีแล้วครับ คุณหมอบอกว่า วิตกกังวลมากเกินไป ก็ให้ยามาทานก็ดีขึ้นมากแต่ก็ยังไม่หาย อีกอย่างนะครับเวลานอนผมจะนอนไม่หลับต้องทานยาตลอดเป็นยาที่คุณหมอจัดให้ เคยลองไม่ทาน ก็จะไม่หลับทั้งคืน เคยไม่นอนติดต่อกันสองวันสองคืนจนยืนไม่ได้ ล้มลงนอน ผมคิดว่าผมกำลังจะตายแน่แล้วเพราะไม่ไหวจริงๆ ก็พยายามคิดถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ แต่ความกลัวมีมากกว่า สุดท้ายก็ผ่านมาได้ การศึกษาธรรมมะนั้น ผมเพิ่งได้อ่านหนังสือของอาจารย์และฟังเทปมาประมาณสามถึงสี่ปีนี่แหละครับ ตอนนั้นดีใจมาก พูดกับตัวเองว่าเราได้เจอสิ่งที่เราตามหามานานแสนนานแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่จะต้องพยายามต่อไปก็คือ ฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจทีละน้อยๆ จนกว่าจะเข้าใจมากขึ้น พี่ namarupa ครับ ขอโทษนะครับที่เรียกพี่เพราะรู้สึกอบอุ่นดี ผมอยากทราบว่าเพราะเวลาผมมีอาการจะทำอะไรไม่ได้เลย พยายามจะคิดว่าทุกอย่างเป็นสภาพธรรม
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อมีเหตุให้เกิด สภาพธรรมนั้นก็ต้องเกิดแล้วก็ต้องดับด้วย ทนอยู่ไม่ได้ แต่รู้มั้ยครับ ตอนที่กลัวนั้น เหงื่อตก กล้ามเนื้อเกร็ง ร้อนวูบๆ ไปทั่วร่างกาย แล้วก็จะคิดว่า ทำไมมันเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทรมานจริงๆ ครับ ผมจะพยายามต่อไป ผมมีกำลังใจมาก ผมดีใจที่ได้มาเจอเว็บนี้ ขอบพระคุณทุกๆ ท่านอีกครั้งครับที่ให้กำลังใจผม
ขออนุโมทนาครับ
ด้วยความยินดีค่ะ หากคุณแดงจะให้เกียรติเรียกพี่ว่าพี่ หากความรู้ความเข้าใจด้านธรรมที่มีอยู่ตามกำลังความสามารถของพี่ที่จะช่วยน้องได้ไม่มากก็น้อย พี่ก็ยินดีและเต็มใจค่ะ เพราะการให้หรือทานที่ประเสริฐสุด คือธรรมทาน เราคุยกันและพยายามทำ
ความเข้าใจในแต่ละประเด็นเลยนะคะ
ผมอยากทราบว่าการต่อสู้กับความกลัว (ในขณะที่กลัวมากๆ ) นึกคิดอย่างไรครับ?
การต่อสู้กับความกลัว (ในขณะที่กลัวมากๆ ) ไม่มีอะไรที่จะต่อสู้กับความกลัวได้นอกจาก
ปัญญา หรือความเข้าใจ เท่านั้น.. เข้าใจ อะไรล่ะ? ก็ต้องเข้าใจและพิจารณาทันทีในลักษณะของเค้าว่า (ไม่ใช่คิดนะคะตอนนี้ คนละขณะกัน) ความกลัวขณะที่เกิดขึ้น คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง มีจริงๆ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร เป็นธรรมประเภทอกุศลอย่างหนึ่ง คือ โทสะ ความไม่ชอบใจ ความไม่สบายใจ ขัดข้องใจ อึดอัด ไม่สบายใจ เหล่านี้เป็นต้น
ขณะที่สภาพธรรมชนิดนี้หรือความรู้สึกนี้กำลังเกิดขึ้น ในขณะนั้น ไม่มีคุณแดงไม่มีใครเลย มีแต่เฉพาะลักษณะของโทสะ เท่านั้นซึ่งเร็วมากๆ เกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อยๆ
พี่ได้นำกระทู้ที่คุณแดงโพสต์มาวันนี้ คุยกับสามีซึ่งเป็นชาวออสเตรเลียน และได้สนทนากับเค้า (ผู้ซี่งศึกษาธรรมมากับท่านอาจารย์สุจินต์ก่อนพี่) ว่าเค้ามีความคิดเห็นอย่างไร? เค้าได้พูดว่า..คุณแดงกำลังมีความกลัวต่อความกลัวคือ…กลัวแล้ว..แล้วก็กลัวในความกลัวนั้น…กลัวแล้ว....แล้วก็กลัวในความกลัวนั้น..... กลัวแล้ว..แล้วก็กลัวในความกลัวนั้นอีก เป็นอย่างนี้ คือมีความกลัวทับถมความกลัวซ้ำแล้วซ้ำอีก คือมีโทสะแล้วโทสะอีก.. โทสะแล้วโทสะอีกสะสมไปเรื่อยๆ แล้วเค้าก็พูดต่อไปอีกว่า ความจริงแล้วความกลัวทำร้ายเราไม่ได้เลย.....จริงหรือไม่จริงคะ? เค้าเกิดแล้ว เค้าก็ดับตามธรรมชาติของเค้า แล้วเราจะไปยึดว่า…เรากลัว เห็นมั้ยคะว่าปัญหามันอยู่ตรงนี้คือ …เรากลัว….มี.. ทั้งเรา…..และมีทั้ง..กลัว
พอจะมองเห็นปัญหาออกมั้ยคะว่า จริงๆ แล้ว…ไม่มีเรา…แต่มี...กลัว…เท่านั้นที่มี จริงๆ กลัวกำลังเกิดขึ้นปรากฏ ประเดี๋ยวมันก็ดับไป แล้วเราจะไปยึดว่า ..ความกลัวนั้นเป็นเราได้อย่างไร? ความยึด ความติดข้อง ความต้องการ คือโลภะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งที่มีจริงๆ เหมือนกัน แต่เราไม่ยักกะกลัวเพราะเราชอบ เราติดข้อง เราต้องการ เราจึงไม่อยากมีความกลัว เราไม่ชอบโทสะ แต่เราก็ชอบโลภะสุดๆ เห็นมั้ยคะ !
เราเคยปฏิเสธมั้ยคะว่า….เราไม่ชอบความสุข หรือได้ในสิ่งที่เราต้องการ สมหวังในสิ่งที่เราอยากได้...แต่พอโทสะมา.เราก็จะไม่เอาละ.….แต่พอโลภะมาเรากลับชอบ….ชอบมากซะด้วย…..ไม่ยักบอกว่า.....ไม่เอาเลยสักหน….....แต่ทั้งโลภะ…หรือโทสะก็เป็นอกุศลทั้งนั้นเลย เห็นมั้ยคะ
แต่เราก็ยังเฝ้าเพียร..วนเวียน..คิดถึงแต่ความกลัวนั้น..ซึ่งทำให้เราคิดมาก วนเวียนอยู่แต่ในความคิดที่เป็นอกุศลนั้นๆ ซึ่งหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียวและหารู้และเฉลียวใจไม่ว่า...โทสะกำลังสะสมไปทุกขณะจิต..มากขึ้นไปเรื่อยๆ น่ากลัวมั้ยคะ? ฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ยังอยากที่จะสะสมมันอีกต่อไปไหม เจ้าอกุศลเนี่ย?
แต่ก็อย่าลืมนะคะว่า คิด ก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา เหตุปัจจัยพร้อมเมื่อไหร่ ! ก็ คิด จะคิดมากหรือน้อยก็แล้วแต่การสะสม สรุปว่าไม่มีเราจริงๆ แต่มีคิด มีโทสะ มีโลภะซึ่งเป็นอกุศลทั้งหมด ไม่มีใครทำอะไรกับอกุศลได้นอกจากปัญญาเท่านั้นค่ะ
นึกคิดอย่างไรครับ? เพราะเวลาผมมีอาการจะทำอะไรไม่ได้เลย พยายามจะคิดว่าทุกอย่างเป็นสภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อมีเหตุให้เกิด สภาพธรรมนั้นก็ต้องเกิดแล้วก็ต้องดับด้วย ทนอยู่ไม่ได้
เพราะเราคิดว่ามีธรรม แล้วก็มีเรา มีเราที่คิด จึงเกิดปัญหาต่างๆ นาๆ ตามมาไม่รู้จบ ใหม่ๆ เราก็ต้องพยายามน้อมใจ พิจารณาตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ ก็จะไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมล้วนๆ ดังนั้นการฟังธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องฟังแล้วฟังอีก แล้วคิดหาเหตุผลตามว่าที่ท่านแสดงถูกผิดอย่างไร? เป็นจริงมั้ยถ้าหากเป็นจริงแล้ว จึงค่อยเชื่อ เพราะพระพุทธองค์ท่านทรงแสดงไว้แล้วในเรื่องของความเชื่อว่ามี 10 อย่าง มีอะไรบ้างก็ลองถามไปที่ผู้รู้จากมูลนิธิฯ ก็แล้วกันนะคะ
เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์ท่านจึงได้กล่าวอยู่เสมอว่า…การศึกษาธรรม ไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือหรือเรื่องราวเท่านั้น ...แต่ประโยชน์ทั้งหมดทั้งปวงอยู่ที่ …หมั่นพิจารณาในขณะนี้ที่กำลังมีสภาพธรรมเกิดขึ้นปรากฏเท่านั้น จึงจะได้สาระจากการฟังพระธรรมเพราะปัญญาขั้นการฟังทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย นอกจาก..การรู้จักตัวสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้นี่เอง
อย่าลืมพระธรรมคำสอนและมั่นคงในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนะคะที่ว่า
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงในโลกนี้ คือธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา"
และที่พี่เคยบอกว่าความกลัวไม่เกิดขึ้นกับพี่อีกเลยหลังจากนั้น แต่พี่รู้จักหน้าตาของมันแล้ว มันคงทำอะไรพี่ไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อนนี้ แต่พี่ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่กลับมาอีก เพราะพระอรหันต์เท่านั้นที่สามารถจะดับ โทสะหรือกิเลสทั้งหมดได้เป็นสมุทเฉท
พี่ขอเป็นกำลังใจให้คุณแดงตลอดไป แล้วยังไงๆ ก็ ศึกษาธรรม ฟังธรรมไปเรื่อยๆ นะคะ พี่ขออนุญาตนำคำพูดของท่าน อ. สุจินต์อีกประโยคหนึ่ง เพื่อเป็นข้อคิดให้พวกเราทุกคน ที่ว่า
พระพุทธองค์ยังต้องพึ่งและเคารพพระธรรมเลย แล้วเราเป็นใคร?
กราบนมัสการพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดมด้วยความนอบน้อม
ขอโทษนะคะ มี อีกอย่างหนึ่งที่พี่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะคุย คือ คุณแดงจะต้องลองถามตัวเองดูก่อนว่าเรากลัวอะไร? คุณแดงอาจจะกลัว เพราะว่าในอดีตอาจจะเคยทำอกุศลแรงๆ มาแล้ว แล้วฝังใจในอดีตนั้นๆ ทำให้เกิดความกลัวขึ้นบ่อยๆ ตามเหตุปัจจัยและการสะสมหรือ จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ นั่นไม่สำคัญเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับไปหมดแล้ว จะหาสาระอะไรกับสิ่งที่ดับไปแล้ว ประโยชน์ที่จะได้รับมีไหม? ก็ไม่มี ….แล้วจะมัวไปกังวลกับสิ่งนั้นทำไมให้เสียเวลา เอาเวลานั้นมาศึกษาพระธรรมคำสอน เจริญกุศลทุกประการเมื่อมีโอกาสจะดีกว่าไหม? อีกคำพูดหนึ่งจากท่านอาจารย์สุจินต์ (ต้องขอโทษต่อท่านผู้อ่านท่านอื่นๆ ที่ดิฉันมักจะกล่าว หรือ อ้างถึงคำพูดของท่านอาจารย์สุจินต์อยู่บ่อยๆ แต่เพราะดิฉันเห็นว่าสิ่งที่ท่านกล่าวเป็นข้อคิดข้อเตือนใจให้พวกเราดำรงไว้อยู่ซึ่งความไม่ประมาท ในอกุศลทั้งหลาย) ท่านกล่าวว่าไม่ว่าผู้นั้นจะเลวสักแค่ไหน แต่หากเขายังฟังพระธรรมอยู่ ไม่ทิ้งพระธรรมไป ผู้นั้นก็ยังมีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นคนดีได้ แต่ถ้าผู้นั้นหันหลังให้พระธรรมไป ผู้นั้นก็หมดโอกาสโดยสิ้นเชิง อนุโมทนาค่ะ
ครั้งหนึ่งมีผู้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า " จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้หวาดเสียวอยู่เป็น นิตย์ ทั้งในกิจที่ยังไม่เกิด และในกิจที่เกิดแล้ว ถ้าความไม่ต้องสะดุ้งมีอยู่ ขอพระองค์จงตรัสบอกสิ่งนั้นเถิด "
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า "เว้นปัญญา ความเพียร การสำรวมอินทรีย์ และความปล่อยวาง โดยประการทั้งปวงแล้ว เรา (ตถาคต) มองไม่เห็นความสวัสดี ของสัตว์ทั้งหลายเลย "การศึกษาพระธรรม จึงเป็นหนทางเดียวเท่านั้นนะคะ ที่จะบำบัดรักษาอาการทางจิตได้ ธรรมโอสถนั้นจะช่วยเยียวยารักษากันจนถึงมูลรากของโรคเลยทีเดียว ไม่มีจิตแพทย์คนไหนที่จะเก่งเกินไปกว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาพระธรรมต่อไปนะคะ เพราะขณะใดที่ตั้งใจฟังพระธรรม ขณะนั้นจิตเป็นกุศล ส่วนเรื่องความกลัวที่สะสมไว้มากจนมีกำลัง ปัญญาขั้นการฟังที่สะสมมา ยังไม่มากพอที่จะมีกำลังให้สติเกิดระลึกได้ เมื่อความกลัวนั้นปรากฎ เปรียบเสมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟค่ะ เมื่อความกลัวเกิดขึ้น ถ้าสติไม่เกิดอกุศลก็ท่วมทับทันที จะสะสมหมักหมมหนาขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นสิ่งที่ยินดีพอใจละก็เท่าไหร่ก็ไม่พอ แม้สติไม่เกิดก็ไม่เดือดร้อนทั้งๆ ที่ต่างก็เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือ ความไม่รู้ค่ะ ถ้ามีความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว ดังเช่น พระอรหันต์ท่าน ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ ในโลก เพราะท่านละความไม่รู้ได้เป็นสมุจเฉท ปุถุชนอย่างเราๆ จะไปเทียบชั้นกับท่านไม่ได้ นอกจากศึกษาพระธรรมและเจริญรอยตามท่านค่ะ ขอให้มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย และการน้อมระลึกถึงพระพุทธคุณ จะทำให้จิตสงบขึ้น เลิกกังวลใจกับความกลัวที่ยังไม่เกิดเสียทีเถอะค่ะ สิ่งที่ล่วงไปแล้ว..ก็ล่วงไปแล้ว สิ่งที่ยังมาไม่ถึง...ก็ยังมาไม่ถึง ใครทำอะไรได้?
ผมดีใจมากครับที่ได้สนทนาธรรมกับพี่ namarupa พร้อมทั้งคุณ devout ก็ได้ให้คำแนะนำมาอย่างดีที่สุดแล้ว ในยามที่กำลังทุกข์อย่างนี้ เพียงคำพูดเอาใจช่วย และคำแนะนำก็มีประโยชน์มากสำหรับผมครับ เห็นได้ชัดก็คือผมสบายใจขึ้นมาก คลายความกังวลลงไปเยอะทีเดียว สามีของพี่ namarupa พูดได้ถูกมากจริงๆ ครับ ผมกำลังมีความกลัวต่อความกลัว คือกลัวแล้ว....แล้วก็กลัวในความกลัวนั้นอีกๆ ๆ ๆ และที่พี่เค้าบอกว่า ปัญหาอยู่ตรงที่มีทั้งเราและมีทั้งกลัว คือมีเราที่กลัว ก็พอเข้าใจนะครับ แต่พอความกลัวเกิดขึ้นทีไรก็ผมกลัวทุกที ก็คงเพราะฟังยังไม่มากพอ ความเข้าใจยังไม่เพียงพอที่ปัญญาจะเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพของโทสะว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ยากจังเลยครับ ที่บอกให้ถามตัวเองดูว่ากลัวอะไรนั้น มากที่สุดก็ กลัวว่าตนเองไม่สามารถทำงานได้ เมื่อไม่สามารถทำงานได้ แล้วจะเลี้ยงชีวิตตนเองและผู้อื่นได้อย่างไร ก็เข้าใจนะครับว่าทุกคนเกิดมามีกรรมเป็นของๆ ตน ต่างก็ต้องเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำไว้ แต่เหมือนกับพยามจะเข้าใจตามคำกล่าว แต่ชีวิตจริงมันไม่ใช่ เพราะยังมีคำว่าตัวตนอยู่ใช่มั๊ยครับ ผมจะพยายามต่อไปครับ ชอบคำกล่าวของอาจารย์สุจินต์ที่พี่เอามาให้อ่าน ท่านกล่าวว่า ไม่ว่าผู้นั้นจะเลวสักแค่ไหน แต่หากเขายังฟังพระธรรมอยู่ ไม่ทิ้งพระธรรมไป ผู้นั้นก็ยังมีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นคนดีได้ แต่ถ้าผู้นั้นหันหลังให้พระธรรมไป ผู้นั้นก็หมดโอกาสโดยสิ้นเชิง ขอบพระคุณพี่ namarupa และคุณ devout พร้อมทั้งท่านอื่นๆ อีกนะครับที่เป็นกำลังใจให้
ขอเป็นกำลังใจให้ คุณ daeng ติดตาม " ฟังพระธรรม" นี่เอง ส่วนจะละคลายได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ว่ามีพอที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฎในชีวิตประจำวันของเราเอง ดังเช่นสภาพความกลัว ซึ่งเป็นเจตสิก ฝ่ายอกุศลชนิดหนึ่งซึ่งมีจริง เมื่อได้เหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจของเขา ผู้ที่จะละได้เด็ดขาด ก็พระอรหันต์นั่นแหละครับ และผมก็เห็นด้วยว่า ที่นี่มีกัลญาณมิตร ที่พร้อมจะให้คำแนะนำ ที่เป็นประโยชน์เป็นที่น่าอนุโมทนาจริงๆ ... ฟังต่อไปนะครับ..
"
ไม่มีจิตแพทย์คนไหนที่จะเก่งเกินไปกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"
ความคิดเห็นตรงนี้จากคุณ devout ตรงกับความคิดเห็นของสามีพี่เช่นกันค่ะ
..โอเคเรามาเริ่มสนทนากันเลยดีกว่านะคะข้อแรก...คุณแดงจะต้องเข้าใจก่อนว่า.ตัวตนนั้น..ทุกคนต้องมีอยู่แล้วแน่นอน ไม่ใช่มี
แต่คุณแดงคนเดียว มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านพ้นจากความเป็นตัวตน โดยสิ้นเชิง
เพราะท่านดับกิเลส จนหมดสิ้นแล้ว แต่พวกเราทั้งหลาย ยังมีความเป็นตัวตนอยู่เต็มๆ แต่ที่เราเข้ามาศึกษาธรรม ก็เพื่อที่จะค่อยๆ พยายามทำความเข้าใจ ในเรื่องราวของธรรมก่อน เช่น ในเรื่องของลักษณะที่มีจริงๆ ของสภาพธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง ..เช่นความกลัว หรือโทสะเป็นต้น เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ สะสมความเข้าใจไป ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ก้าวกระโดด ไปไหนต่อไหน และเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม... สติ… ซึ่งเป็นธรรมอีกชนิดหนึ่ง ก็จะทำหน้าที่ของเขา คือระลึกได้และ…ปัญญา….ก็ทำหน้าที่ของเขา คือรู้แจ้งในสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องน้อมใจพิจารณาตามที่ท่านแสดง ใหม่ๆ ก็จะเป็นเรื่องราวและความนึกคิดไปก่อน แต่วันหนึ่ง ไม่รู้วันไหน ความจริงนั้นก็จะต้องปรากฏกับเราแน่นอน เหมือนอย่างที่ผู้รู้ทั้งหลายท่านรู้มาแล้ว ก่อนที่ท่านจะรู้ ท่านก็ต้องมีความไม่รู้มาก่อน เหมือนพวกเราทั้งหลายนั่นเอง
ข้อสอง…มากที่สุดก็กลัวว่าตนเองไม่สามารถทำงานได้ เมื่อไม่สามารถทำงานได้แล้วจะเลี้ยงชีวิตตนเองและผู้อื่นได้อย่างไร ขณะนี้เหตุการณ์นั้น ก็ยังไม่เกิดขึ้น และไม่มีใครที่สามารถจะ
รู้ได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่? แล้วจะไปกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงได้อย่างไร? ถามว่าได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการคิดนึกแบบนี้? ต้องมีความจริงใจต่อตัวเองนะคะ ต้องหาคำตอบนี้ให้ตัวเองให้ได้ เพราะไม่มีใครที่จะรู้จักคุณแดงมากไปกว่าคุณแดงเอง ถูกมั้ยคะ? เราสามารถที่จะคิดได้สารพัด เป็นล้านๆ อย่าง……ไม่มีวันจบ.. ท่านอาจารย์ถึงได้กล่าวอยู่เสมอว่า เราตกเป็นทาสของความคิด เราอยู่ในห้วงของ ทะเลแห่งความคิด ซึ่งหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เอาเวลานั้นมาเจริญกุศลทุกประการไม่ดีกว่าหรือ?????? และหากว่าตนเองไม่สามารถทำงานได้อีกจริงๆ ถึงเวลานั้นแล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ กรรมเค้าจะจัดสรรมาให้เสร็จสรรพ คุณแดงไม่ต้องไปทำอะไรเลย เพราะทำอะไรไม่ได้ อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ทั้งนั้น พอที่จะเข้าใจและเห็นถึงความเป็น อนัตตา ของสภาพธรรมแล้วหรือยังคะ???? นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา พี่เองก็ไม่อยากเล่าว่า ตัวพี่และสามีก็ผ่านความลำบากมามากมาย หนักหนาสาหัส นับไม่ถ้วนแล้วก็ยังไม่จบ แต่เรา 2 คนก็ไม่เคยหวั่นกลัว เราสู้ไม่ถอย เพราะอะไรรู้มั้ยคะ? ก็เพราะว่า …อะไรๆ ก็หมดจากเราไปได้ ทรัพย์สินเงินทอง หน้าที่ ตำแหน่งการงาน ความมีชื่อเสียง ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครที่จะ
สามารถมาเอาจากเราไปได้เลย นั่นคือความเข้าใจในธรรม ความเข้าใจนี้จะอยู่กับเราตลอดไปทั้งในชาตินี้และชาติไหนๆ
ข้อสาม…ก็เข้าใจนะครับว่า ทุกคนเกิดมามีกรรมเป็นของๆ ตน ต่างก็ต้องเป็นไปตามกรรมที่กระทำไว้ แต่เหมือนกับพยามจะเข้าใจตามคำกล่าว แต่ชีวิตจริงมันไม่ใช่ เพราะยังมีคำว่าตัวตนอยู่ใช่มั๊ยครับ อันนี้มันเป็นเพียงแค่ความคิด คิดในเรื่องราว ของธรรม ยังไงๆ ก็ทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย ต้องเป็นปัญญาที่รู้จักตัวสภาพธรรมจริงๆ เท่านั้น ถึงจะขัดเกลากิเลสให้เบาบางทีละน้อยได้ และชีวิตจริงมันไม่ใช่ ก็เพราะมันมีเราหรือตัวตนอยู่เต็มเปาค่ะ ใช่เลย…. แต่ทว่า…หากความเข้าใจของเราเพิ่มขึ้น (ทีละเล็กทีละน้อยนะคะ และอีกนานนนนนนนนนนนนนค่ะ) ความเป็นเราหรือตัวตนก็จะค่อยๆ เบาบางลงทีละนิดๆ และก็จะค่อยๆ เข้าใจเองว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างเค้ากำลังทำหน้าที่ของเค้าอยู่ ไม่มีเรา ไม่มีคุณแดง ไม่มีพี่ มีแต่จิต....เจตสิก....และรูป....เท่านั้นที่กำลังทำหน้าที่ของตนอยู่อีกครั้งหนึ่งค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้คุณแดง และขอให้คุณแดงมีความมั่นคงในพระธรรม ศึกษาต่อไปอย่าได้ท้อถอย ไม่สบายใจเมื่อไร ก็ยิงมาเลยค่ะคำถาม มีท่านผู้รู้อีกเยอะบนเว็บนี้ ที่คงยินดีให้คำแนะนำปรึกษา จะไม่มีใครหันหลังให้คุณแดงอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าอาศัยอยู่ที่กทม. หรือปล่าวคะ? หากมีโอกาสเชิญมาร่วมสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ สิคะที่มูลนิธิฯ ก็อบอุ่นมาก เพราะมีแต่กัลยาณมิตร นับตั้งแต่ท่านอาจารย์สุจินต์ เป็นต้นค่ะ และคอยท่องคาถานี้ไว้นะคะ ไม่ว่าผู้นั้นจะเลวสักแค่ไหน แต่หากเขายังฟังพระธรรมอยู่ ไม่ทิ้งพระธรรมไป ผู้นั้นก็ยังมีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นคนดีได้ แต่ถ้าผู้นั้นหันหลังให้พระธรรมไป ผู้นั้นก็หมดโอกาสโดยสิ้นเชิง เป็นอีกคาถาหนึ่งที่อยู่ในใจพี่ตลอดมาจนถึง ณ ปัจจุบัน
การสนทนาธรรมกับพี่ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทำให้ผมมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมมะ ซึ่งเป็นประโยชน์มากจริงๆ ความที่ผมกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว คือไม่กล้าที่จะพูดคุยกับใครจึงเท่ากับหมดโอกาสที่จะเข้าใจพระธรรมได้มากขึ้น พี่เป็นกำลังใจให้ผมได้ดีมากครับ บทสนทนาที่ผ่านมา ทำให้ผมมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และอบอุ่นใจมากกับคำว่า จะไม่มีใครหันหลังให้คุณแดงอย่างแน่นอน ทุกๆ ท่านในเว็ป ฯ นี้มี เมตตาจริงๆ นะครับ ที่พี่บอกว่า กรรม เค้าจะจัดสรรมาให้เสร็จสรรพ ถ้าอย่างนั้น การกระทำของเราทุกอย่างก็จะต้องเป็นไปตามการสะสม ผมหมายถึงเหตุที่จะให้เกิดการกระทำ เช่นถ้าผมกำลังจะดื่มเหล้า ทั้งๆ ที่อีกขณะจิตหนึ่งหมายถึงคิดนะครับ คิดว่าอย่านะมันไม่ดีผิดศีลนะ ผลจะทำให้ไปเกิดในอบาย ถ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะถึงความเป็นคนบ้าด้วยเศษของกรรมนั้น แต่แล้วผมก็ดื่ม คำถามก็คือเหตุที่ทำให้ผมดื่ม เพราะกรรมที่สะสมมาได้จัดสรรให้ผมต้องดื่มใช่หรือเปล่าครับ ผมอยากเลิกจริงๆ ผมอ่านบทสนทนาวันนี้แล้ว รู้สึกดีมากจริงๆ เสมือนหนึ่ง เป็นพลังที่จะต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่เคยฟังก็ได้ฟัง สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจก็ได้เข้าใจ แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่ประโยชน์ช่างมากมายเหลือเกิน
ไม่ว่าผู้นั้นจะเลวสักแค่ไหน แต่หากเขายังฟังพระธรรมอยู่ ไม่ทิ้งพระธรรมไป ผู้นั้นก็ยังมีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นคนดีได้ แต่ถ้าผู้นั้นหันหลังให้พระธรรมไปผู้นั้นก็หมดโอกาสโดยสิ้นเชิง ท่านอาจารย์ถึงได้กล่าวอยู่เสมอว่าเราตกเป็นทาสของความคิด เราอยู่ในห้วงของ ทะเลแห่งความคิด ซึ่งหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เอาเวลานั้นมาเจริญกุศลทุกประการไม่ดีกว่าหรือ? บทความเหล่านี้น่าอนุโมทนาจริงๆ ครับ
พี่ดีใจมากค่ะ ที่มีส่วนช่วยทำให้คุณแดงค่อยๆ เริ่มมีความเข้าใจขึ้น มีกำลังใจและอบอุ่นใจคุณแดงพูดถูกค่ะ ที่ว่า ความที่ผมกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว คือไม่กล้าที่จะพูดคุยกับใคร จึงเท่ากับ หมดโอกาสที่จะเข้าใจพระธรรมได้มากขึ้น แสดงว่าคุณแดงค่อยๆ เริ่มมีความเข้าใจถูก เห็นถูกขึ้น แน่นอนค่ะ การกระทำ หรือ กรรม (หรือภาษาธรรมเรียกว่า... เจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นเหตุ ซึ่งทำให้มีผลตามมา หรือวิบาก) ของเราทุกอย่างก็จะต้องเป็นไปตามการสะสม แต่ไม่ใช่เราสะสมนะคะ เป็นจิตและเจตสิกที่สะสม คุณแดงลองคิดตาม และพยายามแยกแยะดูนะคะต่อไปนะคะ..เช่นถ้าผมกำลังจะดื่มเหล้าทั้งๆ ที่อีกขณะจิตหนึ่ง หมายถึงคิดนะครับ (ตามความเป็นจริงแล้ว จิตเกิดดับแล้วหลายขณะไปแล้วค่ะ) คิดว่าอย่านะ มันไม่ดีผิดศีลนะ ผลจะทำให้ไปเกิดในอบาย ถ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะถึงความเป็นคนบ้า ด้วยเศษของกรรมนั้น นี่ก็เข้าใจถูกแล้วค่ะ แต่คิดเป็นเรื่องราว แต่แล้วผมก็ดื่ม..ที่คุณแดงดื่ม ก็ตามการสะสม ที่เคยดื่มมาแล้วในอดีต ไม่รู้กี่ชาติ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ที่จะทำให้คุณแดงดื่ม คุณแดงก็ดื่ม… ไม่มีใครสามารถ ที่จะไปยับยั้ง ให้ทั้งกุศลหรืออกุศลเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงมีคำว่า อนัตตา ไงคะ ! คำนี้เราจะต้องไม่ลืมเป็นอันขาด ถ้าเราสามารถที่จะ บังคับบัญชาให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปอย่างที่เราต้องการได้ โลกนี้ก็คงจะมีแต่ความสุขอย่างเดียว ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วใช่มั้ยคะ?
ผมอยากเลิกจริงๆ
อยากเลิกด้วยกิเลสน่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วค่ะ ตราบใดที่เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่คุณแดงทราบมั้ยคะว่า ผู้ที่รักษาศีล 5 ได้บริสุทธิ์คือ ท่านพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นขณะนี้เรายังเป็นปุถุชนอยู่ (คือผู้หนาแน่นด้วยกิเลส) โอกาสที่เราจะผิดศีล ก็ย่อมต้องมีอยู่แน่นอนทีเดียว เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้ เราไม่มีหนทางอื่นที่จะเดิน นอกจากทางนี้ทางเดียว ก็ต้องค่อยๆ ฟังไป ศึกษาไป อบรมเจริญปัญญา เจริญกุศลไปเรื่อยๆ ไม่ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย เราก็จะค่อยๆ อยู่เป็นสุขขึ้น สุขคือสงบจากกิเลส แม้เพียงเวลาสั้นๆ เล็กน้อย ก็ยังดี แล้วคุณแดงก็อย่าไปทับถมความกลัวขึ้นมาอีกนะคะ ว่านี่เราจะต้องสะสมอกุศลไปอีกแล้วหรือเนี่ย !!! แต่เมื่อ.. อกุศลเกิดขึ้นก็ให้รู้จักหน้าตาของเค้าก็เท่านั้นเอง อาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ท่านเคยพูดคำพูดนี้กับพี่ว่า ถ้าเราอยากจะจับโจร แต่เราไม่รู้จักหน้าตาของโจรว่าเป็นยังไง? ถามว่า เราจะจับโจรนั้นได้ไหม? คำนี้ก็ทำให้พี่ตาสว่างขึ้นเยอะเลยเหมือนกัน เมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณแดงมีความเข้าใจ (คือปัญญาเจตสิก) ก็จะทำหน้าที่ของเค้าเอง ในที่สุด คุณแดงก็อาจจะงดเหล้าได้ อาจจะชั่วคราวหรือตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้ ใครจะรู้ ไม่ต้องไปกังวลนะคะ อยู่กับปัจจุบัน คือสิ่งที่ดีที่สุด ในชีวิตของเราค่ะ
ผมอ่านบทสนทนาวันนี้แล้ว รู้สึกดีมากจริงๆ เสมือนหนึ่งเป็นพลัง ที่จะต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่เคยฟังก็ได้ฟัง สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจก็ได้เข้าใจ แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่ประโยชน์ช่างมากมายเหลือเกิน พี่ดีใจค่ะและพี่ก็เชื่อมั่นว่า คงจะมีผู้อ่านหลายท่าน ที่คงจะช่วยกันลุ้นและให้กำลังใจ คุณแดงกันน่าดูเหมือนกัน
ยิ่งสนทนาธรรมกับพี่ ก็ยิ่งเกิดประโยชน์มากจริงๆ ความสุขที่เกิดจากความเข้าใจเป็นความสุข ที่ไม่เหมือนกับความสุข อันเกิดจากวัตถุสิ่งของ หรือเงินทองเลยนะครับ เป็นความซาบซึ้งจากสิ่งที่ได้รับฟังจริงๆ จะเรียกว่าความสุขจากรสพระธรรมได้หรือเปล่าครับบางครั้ง เวลาเกิดความเข้าใจ รู้สึกว่ามีความสุขมากถึงกับน้ำตาคลอเบ้าทีเดียว เป็นเพราะจิตใจอ่อนไหว อ้อ เป็นเพราะการสะสมมาแล้วอย่างนี้ ใช่มั๊ยครับบทความของพี่ อ่านแล้วมีความสุขมากจริงๆ สิ่งที่พี่ได้กล่าวมานั้น ช่างละเอียดมากจริงๆ ครับ และดึงในแต่ละหัวข้อของคำถาม มาอธิบายได้อย่างดี และเข้าใจได้ง่าย
ผมโชคดีมากที่ได้พูดคุยกับพี่ ขอบคุณพี่มากจริงๆ ครับ
การเรียนรู้ บางครั้งก็ยังไม่ดีเท่ากับ การได้กัลยาณมิตร ที่มีความรู้ความเข้าใจที่สามารถจะช่วยให้เราแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เป็นเพราะสิ่งที่ผมได้ฟังมา อาจไม่ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวของผมเอง อ้อ ผมลืมบอกพี่ว่าผมไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯครับ อยู่ที่ลำลูกกา ก็ใกล้ๆ นี่เอง ผมเคยมาฟังอาจารย์สุจินต์ที่มูลนิธิฯแล้วครับ แต่นานๆ จะได้มาสักครั้ง ผมไม่กล้าถามไม่กล้าที่จะคุยกับใคร แต่ก็ได้รับฟังท่านอื่นๆ ก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ตรงกับปัญหาที่ผมอยากทราบเท่านั้น การที่ได้สะสมมาที่จะได้พูดคุยกับพี่ และท่านอื่นๆ ในเว็ปนี้จึงนับว่าเป็นความโชคดีของผมจริงๆ ขอบพระคุณอย่างมากสำหรับทุกๆ ท่านครับ
สิ่งที่คุณแดงกำลังค่อยๆ เข้าใจอยู่ คือปัญญา ขั้นการฟัง หรือขั้นการอ่าน เป็นปัญญาในระดับหนึ่ง ซึ่งก็จะสะสมไปเรื่อยๆ ไม่หนีหายไปไหน ซึ่งจะต่างจากการท่องจำ เพราะเมื่อเราเข้าใจแล้ว เราก็จะไม่มีวันลืมอย่างที่ ท่านอาจารย์ท่าน ได้กล่าวอยู่เสมอมา นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณแดงได้เริ่มค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กละน้อย แล้วอย่างแน่นอนค่ะ นี่คือความสุขสงบ จากรสพระธรรม ซึ่งต่างจากกับความสุขอันเกิดจากวัตถุสิ่งของ หรือเงินทอง โดยสิ้นเชิง บางครั้ง เวลาเกิดความเข้าใจรู้สึกว่ามีความสุขมาก ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าทีเดียว เป็นเพราะจิตใจอ่อนไหว อ้อ เป็นเพราะการสะสมมาแล้วอย่างนี้ใช่มั๊ยครับ ณ ตอนนี้คุณถามพี่ แต่พี่จะตอบคุณได้อย่างไรคะ? ในเมื่อสภาพธรรมนั้น ก็ดับไปหมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว…. น้ำตาคลอเบ้า….อาจจะเป็นได้ทั้งกุศล (ปิติ) หรืออกุศล (โทสะ) ไม่สำคัญเลยค่ะ เพราะอย่างที่ว่ามันดับไปแล้ว ไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่ดับไปแล้วสิ่งสำคัญที่ควรรู้และเข้าใจคือสภาพธรรมที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ณ เวลานี้ต่างหากคะ ! เช่น ความชอบ ความไม่ชอบ ความติด ความไม่สบายใจ ฯลฯ
สารพัด ที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏอยู่ตลอดเวลา บทความของพี่ อ่านแล้วมีความสุขมาก
จริงๆ สิ่งที่พี่ได้กล่าวมานั้น ช่างละเอียดมากจริงๆ ครับและดึงในแต่ละหัวข้อของ คำถาม มาอธิบายได้อย่างดี และเข้าใจได้ง่าย ผมโชคดีมากที่ได้พูดคุยกับพี่ ขอบคุณพี่มากจริงๆ ครับ
อย่างที่พี่เคยได้พูดเอาไว้ ในตอนต้นๆ ว่า กุศลทุกขั้นควรเจริญ ไม่ควรประมาทแม้เพียงเล็กน้อย การให้ธรรมทาน ถือว่าเป็นการให้ที่สูงสุด ความรู้ความเข้าใจของพี่มีอยู่น้อยนิด หากจะเป็นประโยชน์แก่ใครสักคนบ้าง ไม่มากก็น้อย พี่ก็ยินดีค่ะ แต่ก็มีบุคคลอื่นอีกมากมาย ที่มีความรู้ความเข้าใจมากกว่าพี่ ซึ่งพี่ก็ได้เรียนรู้ จากท่านผู้รู้หลายๆ ท่าน จึงอยากกราบอนุโมทนาทุกท่านมา ณ ที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์เพราะท่านเป็นอาจารย์ ผู้มีแต่ให้กับให้ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก และไม่เคยคาดหวังสิ่งใดจากใคร นอกจากให้ผู้นั้นมีแต่ความเข้าใจในพระธรรม ผมเคยมาฟังอาจารย์สุจินต์ที่มูลนิธิฯ แล้วครับ แต่นานๆ จะได้มาสักครั้ง ผมไม่กล้าถาม ไม่กล้าที่จะคุยกับใคร แต่ก็ได้รับฟังท่านอื่นๆ ก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน เพียงแต่ว่า ไม่ตรงกับปัญหาที่ผมอยากทราบเท่านั้น มาอีกสิคะ มาฟัง.. เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจ เพิ่มมากขึ้น ดีกว่าศึกษาตามลำพังคนเดียวเป็นไหนๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ถาม ซึ่งไม่จำเป็นหากเรายังไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไรค่ะ และถ้าหากอยากจะถามคำถาม ก็สามารถเขียนโน๊ต ฝากถามโดยไม่ต้องถามเองก็ได้ แต่อย่างน้อยๆ การที่ได้มาที่มูลนิธิฯ เราก็จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมหลากหลาย ทั้งคำถามและความคิดเห็น จากหลากบุคคล ที่สำคัญเราจะได้ฟังคำตอบจากท่านวิทยากรหลายท่าน ผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจธรรมจริงๆ และจากท่านอาจารย์โดยตรง ณ ตอนนั้น คำถามหรือคำตอบ อาจจะยังไม่โดนใจเราเท่าไรนัก แต่ในอนาคตใครจะรู้ ฟังไปฟังมา เราอาจจะมีคำถามอยู่ในใจ แล้วอาจจะมีใครสักคน ถามขึ้นมาก็เป็นได้ แล้วถามว่ามามูลนิธิฯ จะเสียประโยชน์ไหม? พี่ว่าจะเป็นตรงกันข้ามเสียมากกว่า…แต่ก็ตามอัธยาศัยแล้วกันนะคะ และตอนนี้คุณก็รู้จักพี่แล้วนะคะ ทางมูลนิธิฯ ยินดีต้องรับทุกท่านที่ต้องการแสวงหาความจริงของชีวิตค่ะ
ถ้ามีโอกาส ผมต้องไปฟังอีกอย่างแน่นอน เพียงแต่ช่วงนี้อุปสรรคช่างมากมายจริงๆ ปัญหาคงไม่ใช่อยู่ที่ใครอื่น แต่เพราะยังไม่ถึงเวลา ที่ผมจะได้ยินได้ฟังเสียงธรรมจากอาจารย์ และวิทยากรท่านอื่นๆ นั่นเอง ชีวิตช่างวุ่นวายเสียจริงๆ ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดน่ารื่นรมย์เลยจริงๆ วันหนึ่งๆ ก็มีแต่โลภะ โทสะ และโมหะ เกิดขึ้นวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันจบสิ้นเลย สะสมมากขึ้นทุกวันๆ กุศลจะเกิดแต่ละครั้งก็ยากแสนยาก อย่างที่พี่บอกนั่นแหละครับ มันเป็นเพียงแค่ความคิด ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นดับกิเลสไม่ได้เลย มีหนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือ กุศลทุกขั้นควรเจริญ ไม่ควรประมาทแม้เพียงเล็กน้อย เป็นคำกล่าวที่ไพเราะจริงๆ ครับ
ขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์ ไม่ มากก็
น้อยการฟังการสนทนาธรรม สดๆ ที่มูลนิธิฯ ในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ ดิฉันพบว่า แตกต่างจากการฟังสนทนาในเทป วิทยุ เป็นอย่างมาก อย่างที่ดิฉันไม่เคยคาคิดมาก่อนว่าจะแตกต่างกัน สำหรับดิฉัน มีหลายๆ เรื่องที่ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ แต่เมื่อฟังซ้ำที่มูลนิธิฯ จะได้รับผลของความเข้าใจ ที่ชัดเจนและหนักแน่นขึ้น แม้เป็นเพียงความเข้าใจเพิ่มเติมเพียงหนึ่งเรื่อง แต่ทำให้ละคลายทีละเล็กทีละน้อย จนรู้สึกเหมือนมีพลังที่จะเผชิญกับชีวิตที่วุ่นวายไม่รู้จบในช่วงระหว่างอาทิตย์จึงอยากให้ลองจัดเวลาดู อีกทั้งในกรณีของคุณแดง การพบปะผู้คนที่มีจิตเป็นกุศล ในการมาฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ น่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่จะช่วยให้คุณแดงได้สะสมความเคยชินในการพบปะผู้คน อีกทั้งการพูดคุยกับผู้อื่น ด้วยการสนทนาธรรม น่าจะเป็นเรื่องที่ช่วยให้ละคลายความกังวล ความประหม่าต่างๆ ได้มากกว่าการสนทนาทั่วไปในระหว่างการทำงานซึ่งอกุศลจะเกิดเป็นส่วนใหญ่
ตามที่ผู้ศึกษาธรรม กล่าวให้ดิฉันฟังว่า "การศึกษาธรรม จะทำให้เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น ว่าเป็นอย่างไร เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้น ก็เกิดจากผลของกุศล และอกุศล ที่เราเคยกระทำมาทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นไปค่อนข้างยาก ที่แต่ละคนจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ในชิวิต"
ดังนั้น เมื่อเราทราบเช่นนี้ ก็ให้มั่นคงในการฟังธรรม เพราะสุขหรือทุกข์ ไม่อยู่กับเราได้นาน เมื่อมาแล้วก็ผ่านไป ขอแต่อย่าได้โน้มเข้าหาสิ่งที่เป็นอบาย อันจะเพิ่มเติม และสะสมต่อเนื่องไป แต่ควรโน้มหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้เกิดกุศล ได้มากที่สุด และเห็นโทษของอกุศลอย่างจริงๆ ดิฉันจึงมีความมั่นใจว่า มูลนิธิฯคือสถานที่ที่ทำให้ดิฉันได้สะสมกุศลทีละเล็กละน้อยด้วยการมาฟังการสนทนาธรรม เพื่อให้สามารถละคลายความไม่รู้ได้ทีละเล็กทีละน้อย (เพราะกุศลที่จะเกิดแต่ละครั้งก็ยากแสนยาก ดังที่คุณแดงกล่าวย้ำนั้นถูกต้องจริงๆ ค่ะ)
การฟังธรรมเป็นเรื่องยาก กว่าจะคิดว่า อยากฟังงธรรมก็อายุมากแล้ว กว่าจะพบคำสอนที่สอนได้ถูกต้องก็ยากแสนยาก พบแล้วจะฟังให้เข้าใจ ก็ยากแสนยากขึ้นไปอีก อยากจะไปฟังที่มูลนิธิฯก็ยากอีก (หนึงอาทิตย์ทำงานหกวัน วันหยุดวันอาทิตย์ก็ต้องอยู่กับครอบครัว ชวนมาด้วยก็ไม่มา จะมาคนเดียวก็ไม่ยอม ยากอีก) อยากถามผู้รู้หน่อยนะครับ การที่เราได้เกิดมาเป็นสามีภรรยากันนั้น ทราบว่าต้องเคยทำบุญร่วมกันมา สิ่งที่อยากทราบก็คือ กรรมที่ได้กระทำก็ต่างกัน เวลาตายจากกันแล้วก็ไปในภพต่างๆ กัน สงสัยว่าทำไมถึงได้เกิดมาทันกันในชาติที่เป็นมนุษย์ครับ และสืบต่อไปหลายๆ ชาติด้วย
ขอบคุณครับ
คนเราแต่ละคนเกิดนับภพชาติไม่ถ้วน แต่ละชาติที่เกิด มีการกระทำกรรมมากมาย กรรมที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ ต้องเป็นกุศลกรรม โอกาสที่กุศลกรรมที่เคยทำไว้ ให้ผลเป็นมนุษย์ในเวลาใกล้กัน ก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะบางกำเนิดอายุสั้น เช่นสัตว์เดรัจฉานบางพวก ฉะนั้นคนที่ทำกรรมดีไปเกิดเป็นเทพมีอายุยืนนาน จุติจากเทพ มาเป็นมนุษย์นับแล้ว ๒ ครั้ง ส่วนคนที่อกุศลกรรมให้ผล ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตายแล้วเกิดอีกหลายครั้ง พอกุศลให้ผล เกิดเป็นมนุษย์ ก็เจอกับคนที่ไปมาจากสวรรค์ก็เป็นไปได้ ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงอดีตชาติของพระพุทธเจ้า และอดีตชาติของพระเทวทัต ทั้งสองท่านทำกรรมที่แตกต่างกัน แต่เกิดมาเจอกันเป็นประจำ เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อกิเลสยังมีก็ต้องเกิดอีกเป็นธรรมดา
อ่านการสนทนาธรรมระหว่าง คุณ daeng และ คุณ namarupa รวมถึง คุณ kanokwan devout และ wirat.k แล้วรู้สึกชื่นใจจริงๆ ค่ะ พลอยรู้สึกอบอุ่น และ ได้รับความเป็นกัลยาณมิตรร่วมด้วย ชุ่มชื่นใจในกัลยาณมิตร ผู้แนะนำกัลยาณธรรม แก่คุณแดง ขออนุโมทนาค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้คุณแดงสู้ต่อไป และขออนุโมทนา ที่ไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ดิฉันเคยเกือบผ่านเข้าไปในช่องน้อยนั้น สำเร็จเมื่อยังอยู่ในวัยรุ่น เพราะไม่ได้มีโอกาสศึกษาธรรมะ และมีกัลยาณมิตรที่ดีอย่างวันนี้ ดิฉันเคยเป็นคนชอบดื่มเหล้า ไม่ใช่ดื่มเพื่อแก้กลุ้ม แต่ดื่มเพราะเคยเห็นผิดว่าเป็นเครื่องดื่มที่รสชาติดี แต่ได้เลิกดื่มเป็นสิบปีแล้ว เพราะคนใกล้ชิดขอร้องด้วยกลัวว่า ดิฉันจะเป็น Alcoholic เพราะอารมณ์ศิลปินของตนเอง ดิฉันเข้าใจจึงยอมเลิกดื่มเด็ดขาดแต่โดยดี ทุกวันนี้ดิฉันยังนั่งร่วมโต๊ะสนทนา รับประทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน ที่ยังดื่มสุราในงานสังสรรค์ต่างๆ ของหน่วยงานได้เป็นปกติ ดิฉันจึงมั่นใจว่าคุณแดงจะสามารถเลิกดื่มเหล้าย้อมใจ ให้หายกลัวได้อย่างแน่นอนค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้คุณแดงและอนุโมทนาในกุศลจิตของผู้ให้คำตอบกับคุณแดงทุกท่านครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)