อยากใคร่เรียนถามเรื่องเกี่ยวกับเปรตครับ

 
กฤต
วันที่  17 ส.ค. 2555
หมายเลข  21583
อ่าน  4,676

๑. กระผมอยากเรียนรู้เรื่องเปรต ว่าเปรตมีกี่ประเภท อยู่ที่ไหน อย่างไรบ้าง ทำกรรม อันใดไว้บ้าง

๒. การหลุดพ้นจากการเป็นเปรตจะทำได้อย่างไรบ้าง หมายถึงการทำบุญให้พวกเปรต

๓. ถ้าเทียบกับ อบายภูมิทั้ง ๔ แล้ว ความทรมาน ความสาหัสของภูมิไหนมีมากน้อยกว่ากัน

ขอขอบคุณครับ ความรู้ที่ถามนี้ จะได้เอาไปเล่าให้ญาติธรรมให้ฟังกันครับ อย่างน้อยเขาจะได้กลัวกรรมกลัวเวรครับ

ขอบคุณอีกครั้งล่วงหน้าครับที่อนุเคราะห์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 18 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. กระผมอยากเรียนรู้เรื่องเปรต ว่าเปรตมีกี่ประเภท อยู่ที่ไหน อย่างไรบ้าง ทำกรรม อันใดไว้บ้าง

เปรต มีหลายประเภท เช่น ปรทัตตุปชีวิกเปรต ขุปปีปาสิกเปรต นิชฌามตัณหิกเปรต กาลกัญจิกเปรต เป็นต้น และ ก็ยังแบ่งเปรตไปตามชื่อ ประเภทต่างๆ อีกมากมาย

ส่วนเปรตอยู่ที่ไหน

- เปรต ก็มีภพภูมิที่เป็นที่อยู่อาศัย ของเปรต อาศัยอยู่บนโลกนี้ แต่คนละมิติ ที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าของมนุษย์ นอกจากเปรตจะทำให้เห็น หรือ ผู้มีจักขุทิพย์ ครับ

ทำกรรมใดทำให้เกิดเป็นเปรต

- ทำอกุศลกรรม ข้อใด ข้อหนึ่ง ใน อกุศลกรรมบถ ๑๐

มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ มีความเห็นผิด ข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ สามารถทำให้เกิดเป็นเปรตได้ ครับ

๒. การหลุดพ้นจากการเป็นเปรตจะทำได้อย่างไรบ้าง หมายถึงการทำบุญให้พวกเปรต

- การจะหลุดพ้นจากเปรต ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ กรรมที่ทำให้ถึงความเป็นเปรต ที่เป็นอกุศลกรรมหมดสิ้นลง และ อีกประการหนึ่ง เพราะ อาศัย ส่วนบุญของญาติที่อุทิศให้ ที่มีกำลัง เปรตเกิดจิตอนุโมทนาในกุศลนั้น ทำให้ อกุศลกรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตถูกตัดรอน ด้วยผลของการอนุโมทนาบุญของเปรตนั้น ทำให้จุติ เกิดใหม่ในสุคติภูมิได้ เปลี่ยนภพภูมิจากความเป็นเปรต ครับ

๓. ถ้าเทียบกับ อบายภูมิทั้ง ๔ แล้ว ความทรมาน ความสาหัสของภูมิไหนมีมากน้อยกว่ากัน

- ถ้าเทียบถึงความหนักเบาของอกุศลกรรมที่ให้ผลนำเกิด นรก หนักที่สุด รองลงมา คือ สัตว์เดรัจฉาน และเป็นเปรต ส่วนเบาที่สุด คือ อสุรกาย ครับ

- ส่วนการทรมานของภพภูมิ นรกหนักที่สุด รองลงมา เป็นเปรต เพราะ หิวกระหายตลอดเวลา และ เป็นอสุรกาย และ สัตว์เดรัจฉาน ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
กฤต
วันที่ 18 ส.ค. 2555

อสุรกายคืออะไรครับ เป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร มีฤทธิ์ไหม น่าเกลียด น่ากลัวไหมครับ และที่สำคัญ ไปทำอะไรมาถึงได้เป็นอสุรกายครับ

อีกประการ การได้เกิดเป็นเดรัจฉาน ก็ไม่มีโอกาสทำดีแน่ๆ เลย ผมว่าอย่างนั้นครับ เพราะนอกจากจะเสวยทุกข์แล้ว ไม่พอ หากยังต้องเลี้ยงตนด้วยการกินสัตว์เป็นอาหาร

ถ้าอย่างนั้นแล้วตายจากเดรัจฉาน มันก็คงไม่พ้นเกิดในนรกแน่ๆ จริงไหมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 18 ส.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

อสุรกายคืออะไรครับ เป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร มีฤทธิ์ไหม น่าเกลียด น่ากลัวไหมครับ และที่สำคัญ ไปทำอะไรมาถึงได้เป็นอสุรกายครับ

- อสูร หรือ อสุรกาย หมายถึง อบายภูมิภูมิหนึ่ง ที่เป็นที่เกิดของผู้กระทำอกุศลกรรมไว้ เป็นอบายภูมิที่ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนนรกหรือเปรต แต่สัตว์ที่เกิดในภูมินี้ไม่มีความร่าเริง ไม่มีความเจริญ สถานที่อยู่ใกล้มนุษย์ แต่กำเนิดเป็นอสุรกาย

อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 203

สัตว์ทั้งหลายพวกที่ชื่อว่าอสูร เพราะอรรถว่าไม่เล่น (อย่างเทวดา) คือ เล่นโดยความเป็นใหญ่และเป็นกีฬา เป็นต้น ก็หาไม่ ได้แก่ พวกเปรตที่เป็นอสูร ฯ

ส่วนเวปจิตติอสูรนอกนี้ ชื่อว่า อสูร เพราะอรรถว่า ไม่ใช่เทวดา คือ เป็นข้าศึก ของเทวดาฯ ก็ในบทว่า อสุรกายนี้ หมายเอาพวกอสูรที่เป็นเปรตเท่านั้น มิได้หมายเอา พวกเวปจิตติอสูรนอกนี้


- ส่วนการเกิดเป็นอสุรกาย นั้น ไม่ได้เจาะจงว่า เป็นกรรมอะไร แต่ เป็นการกระทำกรรม คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ข้อใดข้อหนึ่ง เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเป็นอสุรกาย ครับ


อีกประการ การได้เกิดเป็นเดรัจฉาน ก็ไม่มีโอกาสทำดีแน่ๆ เลย ผมว่าอย่างนั้นครับ เพราะนอกจากจะเสวยทุกข์แล้วไม่พอ หากยังต้องเลี้ยงตนด้วยการกินสัตว์เป็นอาหาร

ถ้าอย่างนั้นแล้วตายจากเดรัจฉาน มันก็คงไม่พ้นเกิดในนรกแน่ๆ จริงไหมครับ

- ถูกต้องครับ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างนั้น เพราะ สัตว์ในอบาย โดยมากทำอกุศลกรรม เป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น สัตว์ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานและตายไป และ กลับไปเกิดในสุคติมีน้อย แต่สัตว์ที่ตายจากสัตว์เดรัจฉานไปเกิดในนรก และ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย มีมาก และ ส่วนมากจะไปเกิดในนรก และ อบายภูมิ เปรียบเหมือน ฝุ่นในเล็บ มีน้อย สัตว์ที่ตายจากสัตว์เดรัจฉานไปเกิดในสุคติมีน้อย แต่ เปรียบเหมือนแผ่นดินมีมาก คือ สัตว์โดยมากที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเกิดในอบายภูมิ มี นรก เป็นต้นโดยมากครับ

นี่แสดงให้เห็นคุณค่าของการได้เกิดเป็นมนุษย์ว่าเป็นสิ่งที่ยาก ควรที่จะใช้ชีวิตที่เป็นประโยชน์เท่าที่ทำได้ คือ การเจริญกุศลและอบรมปัญญาตามกำลังปัญญา ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
กฤต
วันที่ 18 ส.ค. 2555

อสุรกาย หรือ อสูร หรืออสุรา ก็คือพวกผี พวกปีศาจ ที่เป็นศัตรูกับเทวดา และทำ

การรบกับเทวดาในตำนวน ใช่ไหมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 18 ส.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 4 ครับ

อสูร มี ๒ อย่าง ครับ คือ ที่เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ที่ รบกับ เทวดาที่ดี มีพระอินทร์ กับ อสูร ที่เป็นอสุรกาย ที่เป็นสัตว์ในอบายภูมิ ไม่ใช่เทวดา ที่รูปร่าง น่ากลัว และ ไม่มีความสุข เพราะเกิดจากอกุศลกรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 18 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อตายแล้วก็ยังต้องเกิด แต่ก็ต้องเกิดตามเหตุ ตามปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผล สำหรับผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ต้องเป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นการยากมากกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ผู้ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น (รวมถึงสุคติภูมิอื่นๆ คือ สวรรค์ ด้วย) มีเป็นส่วนน้อย แต่ ที่เกิดได้โดยง่าย คือ เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ

อกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น เป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เท่านั้น ไม่ใช่สุคติภูมิ เพราะการจะไปเกิดในสุคติภูมิซึ่งเป็นภพภูมิที่ดี กล่าวคือมนุษย์ภูมิและสวรรค์ ต้องเป็นผลของกุศลกรรมฝ่ายเดียว

เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนควรพิจารณาว่า ไม่ควรจะเป็นผู้วางใจว่าจะไม่มีวันจะไปสู่อบายภูมิ เพราะเหตุว่า ผู้ที่จะพ้นจากอบายภูมิได้นั้น คือ ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ยังมีโอกาสที่จะไปสู่อบายภูมิได้ ถ้าไปเกิดในอบายภูมิแล้ว ย่อมมีแต่ความทุกข์ทรมาน ไม่มีโอกาสที่จะเจริญกุศลประการต่างๆ ไม่มีโอกาสได้อบรมเจริญปัญญาด้วย

ในขณะนี้ ทุกคนเกิดเป็นมนุษย์ ในมนุษย์ภูมิ มีชีวิตที่ดำเนินไปแตกต่างกันตามฐานะของตนๆ มีความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามที่แต่ละบุคคลได้ประสบอยู่ แต่ถ้าเป็นอบายภูมิแล้ว จะไม่เป็นอย่างนี้เลย จะไม่มีความสุขเหมือนอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว จึงไม่ควรที่จะประมาท การกระทำทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ก็ควรที่จะเป็นไปในทางที่ดีงามเท่านั้น ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
กฤต
วันที่ 18 ส.ค. 2555

๑. อายุของพวกเปรต อสุรกายและพวกเทวดา พรหม มีอายุกันอย่างไรครับ

๒. การเสวยทุกข์ของพวกสัตว์นรก ก็พอจะทราบครับ แต่การเสวยสุขของเหล่าเทวดา และ พรหม เป็นอย่างไรครับ รบกวนตอบด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 18 ส.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 7 ครับ

๑. อายุของพวกเปรต อสุรกายและพวกเทวดา พรหม มีอายุกันอย่างไรครับ

- สำหรับ พรหม ก็จะมีอายุยืนนานมาก ด้วยกำลังของกุศลกรรมที่มีกำลัง ที่เป็นฌานจิต ส่วนเทวดา ก็แล้วแต่ครับว่า จะเกิดขึ้นที่ไหน ยิ่งสวรรค์ชั้นสูง ก็ยิ่งมีอายุยืนนาน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่จนครบอายุขัยของอายุบนสวรรค์ ก็อาจจะมีอายุไม่ยืนนานมาก สำหรับเทวดาบางพวก ที่มีกุศลกรรมที่ไม่มีกำลัง ส่วน เปรต อสุรกาย ก็แล้วแต่ครับ ว่า ด้วยผลของกุศลกรรมที่มีกำลัง หรือ ไม่มีกำลังมาก หาก เป็นอกุศลกรรมที่มีกำลังมาก อายุก็จะยืน เพื่อที่จะเสวยผลของอกุศลกรรมมาก ดังเช่น ญาติของพระเจ้าพิมพิสารที่เกิดเป็นเปรต ต้องเป็นเปรต นานแสนนาน ผ่านพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ เพราะ ผลของกรรมที่ไปเอาอาหารของสงฆ์ ลักของสงฆ์ ครับ

ส่วน เปรตที่เกิดจากอกุศลกรรมที่ไม่มีกำลัง ก็มีอายุไม่นานมากก็ได้ หรือ มีเหตุปัจจัยอื่นๆ เช่น กุศลกรรมมาตัดรอน มี การอนุโมทนา ในกุศลที่ญาติอุทิศให้ ก็ตัดรอนทำให้เปลี่ยนภพภูมิก็ได้ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ครับ

๒. การเสวยทุกข์ของพวกสัตว์นรก ก็พอจะทราบครับ แต่การเสวยสุขของเหล่าเทวดา และ พรหม เป็นอย่างไรครับ รบกวนตอบด้วยครับ

- การเสวยสุขของเทวดา และ พรหม

ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจก่อนครับว่า การได้รับวิบากที่เป็นผลของกรรม คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส

เพราะฉะนั้น ขณะที่เสวยสุข ได้รับสิ่งที่ดี ก็คือ ขณะที่เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี ได้กลิ่นที่ดี ได้ลิ้มรสที่ดี ได้กระทบสัมผัสที่ดี ส่วนการได้รับผลของกรรมที่ไม่ดี คือ ขณะที่เห็นไม่ดี ... รู้กระทบสัมผัสที่ไม่ดี ดังนั้น การที่ตกนรก ได้รับผลเสวยความทุกข์ คือ ขณะที่เห็นไม่ดี ... รู้กระทบสัมผัสไม่ดี เช่น กระทบไฟร้อนๆ

ส่วนเกิดในสวรรค์ พรหม ก็ได้รับความสุข เสวยสุข คือ เห็นสิ่งสวยๆ ได้ยินเสียงดนตรี เพราะ เป็นทิพย์ ได้กลิ่นหอมมากๆ ได้ลิ้มรส อาหารทิพย์ ได้กระทบสัมผัสสิ่งที่นิ่มมากๆ ที่เป็นทิพย์ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
กฤต
วันที่ 18 ส.ค. 2555

พอจะบอกได้ไหมครับ เรื่องอายุครับ เป็นตัวเลข กี่ปี กี่ร้อยปี กี่พันปี กี่ล้านปี กี่โกฏิปี

กี่กัป กี่กัลป์ กี่อสงไขยน่ะครับ แล้วเราจะทำยังไงให้ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสูงๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
paderm
วันที่ 18 ส.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 9 ครับ

สำหรับ อายุของพรหมนั้น ยืนยาวมาก เช่น อายุ ๑ กัป เป็นต้น หรือนานกว่านั้น มากที่สุดก็ แปดหมื่นสี่พันกัป ซึ่งกัปหนึ่งก็นานมากๆ นับปีไม่ได้เลย ครับ

ดังเช่น มีภูเขาหินแท่งทึบ กว้าง ๑๖ กิโลเมตร ยาว ๑๖ กิโลเมตร สูง ๑๖ กิโลเมตร ๑๐๐ ร้อยปี จะมีเทวดาเอาผ้าที่เนื้อละเอียดและบางอย่างดี มาลูบภูเขานั้นหนึ่งครั้ง จนภูเขานั้นราบเรียบหมด กัปยังไม่สิ้นเลย ภูเขาก็หมดลงไปก่อน กัปหนึ่งจึงนานมาก ครับ

ส่วนการจะไปเกิดในพรหมโลก จะต้องอบรมสมถภาวนา จนได้ฌาน ครับ และ ฌานไม่เสื่อม ก็ทำให้เกิดในพรหมโลก

แต่ในความเป็นจริง พระพุทธเจ้าแสดงถึงภพภูมิที่ประเสริฐที่สุด คือ มนุษย์ เพราะ เป็นภพภูมิที่สามารถเจริญกุศลได้ทุกๆ ประการ ทั้ง ทาน ศีล และ อบรมปัญญา จนบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงบังเกิดในโลกมนุษย์ การเกิดเป็นพรหม แม้จะอายุนาน แต่ก็ชั่วคราว แสนสั้น เมื่อเทียบกับสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานมากๆ

ดังนั้น เมื่อกรรมหมด ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือเกิดในอบาย ก็ได้ เพราะฉะนั้น การมีชีวิตที่เกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐ ได้มีโอกาสทำกุศลประการต่างๆ และ ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในขณะนี้ อนาคตข้างหน้าไม่แน่นอน สำคัญที่ปัจจุบันเป็นสำคัญ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
กฤต
วันที่ 19 ส.ค. 2555

สาธุ ครับ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
munlita
วันที่ 15 ต.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
wannee.s
วันที่ 18 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ค่อยๆศึกษา
วันที่ 20 ส.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ