สูตรพระพุทธเจ้า ธัมมะ เท่ากับ เหตุ + ปัจจัย ผมมีความคิดเช่นนี้ผิดหรือเปล่าครับ
กราบเรียนถามท่านอาจารย์หรือท่านผู้รู้
ผมได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์และอ่านหัวข้อต่างๆ ทั้งหนังสือของท่านอื่นและพระไตรปิฎกนิดหน่อย ผมเลยสรุปเอาเอง เป็นความคิดที่เป็นอกุศลหรือเปล่าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรม เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง รู้ได้ด้วยปัญญา ซึ่งปัญญาจะเกิดขึ้นได้ จะต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อย่างยาวนาน ไม่ใช่เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า เหตุ ปัจจัย ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า เหตุ คืออะไร มีอะไรบ้าง และเข้าใจว่าขณะนี้มีเหตุไหม ปัจจัยคืออะไร มีอะไรบ้าง และ ขณะนี้มีปัจจัยไหม เพราะฉะนั้น ปัญญาจะต้องเป็นไปตามลำดับ ครับ จากการศึกษาพระธรรมอย่างละเอียดและยาวนาน คงไม่สามารถสรุปพระธรรมของพระพุทธเจ้า เพียงบทใดบทหนึ่ง เพราะฉะนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่จิตเป็นอกุศล เป็นความเห็นผิดหรือไม่ สำคัญที่กลับมาเริ่มสู่ความเข้าใจใหม่ ที่จะต้องศึกษาพระธรรมอย่างยาวนาน ไม่เผิน โดยเริ่มจากความเข้าใจเบื้องต้นว่า ธรรมคืออะไร
เพราะ หากยังไม่เข้าใจตัวธรรมที่มีในขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่า เหตุและปัจจัยคืออะไรได้เลย เพราะเหตุปัจจัย จะมีได้ ก็เพราะ มีสภาพธรรม นั่นเอง ครับ
พระธรรมของพระพุทธเจ้า จึงไม่มีสูตรสรุปเพียงสั้นๆ แต่พระธรรมของพระพุทธเจ้า ละเอียด ลึกซึ้ง จนไม่สามารถสรุปเพียงคำสั้นๆ ได้ ความเข้าใจ คือ ปัญญา จึงต้องรู้ทั่ว ตามความเป็นจริงในพระธรรมส่วนต่างๆ ด้วย ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ ซึ่งสิ่งที่มีจริงนี้ ก็กำลังมีในขณะนี้ แต่ก็ไม่รู้เลยว่า เป็นธรรม มีแต่เป็นเราที่เห็น เป็นเราที่ได้ยิน เป็นเราที่ได้กลิ่น ... เป็นเราที่คิดนึก เป็นเราที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง จึงจะค่อยๆ รู้ขึ้นมาบ้างว่าเป็นธรรม ทำให้เห็นถึงความหนาแน่นของอวิชชา (ความไม่รู้) ที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ที่ปกคลุมปิดบังไม่ให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงถึงแม้จะมีอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างเป็นปกติอยู่ตลอดเวลาก็ตาม ธรรมจึงเป็นเรื่องที่ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง เป็นอย่างยิ่ง
ทั้งหมดนั้น เป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผู้ที่เป็นบัณฑิตมีปัญญาเท่านั้นถึงจะรู้ตามความเป็นจริงได้ และประการที่สำคัญ เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด และไม่ต้องแสวงหาธรรมที่ไหนเลย เพราะมีอยู่ทุกขณะ
หนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายอวิชชาให้เบาบางลงได้ คือ การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญา ซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ละทิ้งโอกาสสำคัญในชีวิต นั่นก็คือ การฟังพระธรรม ขณะที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะค่อยๆ ละคลายอวิชชาไปตามลำดับ ซึ่งสามารถเริ่มอบรม สะสมปัญญาได้ตั้งแต่ในขณะนี้ เพราะไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับเกิดมาแล้วได้เข้าใจธรรม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สูตรพระพุทธเจ้า ธัมมะ เท่ากับ เหตุ + ปัจจัย หมายความว่า ธรรมะทุกอย่างเป็นเหตุและเป็นปัจจัย จึงไม่น่าจะถูกต้อง เพราะธรรมะบางอย่างไม่เป็นเหตุแต่เป็นปัจจัย เช่น นิพพาน
(เหตุมี ๔ อย่าง [ธรรมสังคณี] )
แต่ถ้ากล่าวว่าธรรมะและเหตุปัจจัยเกี่ยวข้องกัน โดย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไกลจากกิเลส
พระอัสสชิเถระกล่าวว่า "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าแสดงเหตุ และ ทรงแสดงการดับไปแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยเพราะการดับไปแห่งเหตุ" จึงไม่ได้แสดงเพียงเหตุและปัจจัย แต่ทรงกรุณาแสดงถึงการดับแห่งเหตุซึ่งการสิ้นไปแห่งทุกข์ และพระธรรมที่ทรงแสดง ลึกซึ้ง งดงาม น่ารู้ ไม่พึงเป็นผู้ที่ประมาทในพระปัญญาของท่านผู้รู้ และไม่พึงประมาทในความไม่เที่ยงแห่งสังขารธรรม
ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
เห็นด้วยกับความรู้ที่ได้รับ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ที่ได้ชี้ขุมทรัพย์ให้ครับ
อ.สุจินต์ได้กล่าวว่า "แต่ละคำ ข้ามไม่ได้เลย" เช่น ธัมมะเกิดจากเหตุปัจจัย เกิดดับท้นที ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ต้องเข้าใจจริงๆ รู้จริงๆ เห็นจริงๆ ฯลฯ แต่ละคำข้ามไม่ได้จริงๆ ยิ่งคำที่มีในพระไตรปิฎก เช่น เน่าใน หยากเยื่อ ขยะ สติ ปัญญา ศีล จิต อธิศีล อธิจิต ฯลฯ ข้ามไม่ได้เลยจริงๆ ที่พิมพ์มานี้ ผมยังรู้ด้วยนิมิตและอนุพยัญชนะ ขั้นปุถุชนอยู่ ยังต้องฟัง ศึกษาพระธรรมต่อไปอีกจนกว่าจะเห็นถูกจริงๆ เข้าใจถูกจริงๆ ให้มากขึ้นๆ ตามเหตุตามปัจจัยต่อไป (จิรภาวนา)
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านอีกครั้ง