ลิงที่โง่...ตัวเราหรือเปล่า (ตอนที่ ๑)
ลิงที่โง่ ล่อกแล่ก เที่ยวไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (อารมณ์ที่ไม่น่าเที่ยวไป) เมื่อติดข้องในกามมารมณ์ ก็ถึงความพินาศในที่สุด ดังปรากฏในพระสูตร มักกฏสูตร ฉะนั้น ทางที่ควรไป คือ ทางที่อบรมเจริญปัญญารู้ตามความเป็นจริงของอารมณ์ต่างๆ ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ขณะที่รู้ว่าเป็นธรรมตามความเป็นจริง ก็ไม่ติดกับดักของนายพราน ซึ่งก็คือมาร ขณะที่รู้ตามความเป็นจริงก็ไม่ติด ตัง ของนายพราน ขณะที่เพลิดเพลินก็ติด ตัง โลภะเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ โมหะก็เกิดร่วมด้วยเสมอ เพราะเมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ติดข้องทันทีในรูป เสียง ... ก็ถูกมารดักไว้แล้ว ย่อมหนีไม่พ้น ชาติ ชรา มรณะ
ผู้ที่ติดในกามคุณ ๕ ก็เปรียบเหมือนลิงติดตัง ในชีวิตประจำวันความติดข้องยินดีพอใจก็ยังมีอยู่ เกิดขึ้นเป็นไปในกามภูมินี้ เราก็ยังต้องเห็น ได้ยิน .... หลังเห็น หลังได้ยินก็ติดตัง เห็นเป็นนิมิตอนุพยัญชนะ เป็นคนนั้น คนนี้ ใส่เสื้อสีสวย ก็ติดตังเป็นชั้นๆ ติดแล้วไม่ยอมปล่อย เพราะลักษณะของ โลภะ คือ ติด ผูกพันกับสิ่งที่ติด ผูกไว้ในสังสารวัฏฏ์ ไม่ยอมปล่อยให้เป็นโอกาสของกุศลเลย ทำให้พลาดโอกาสของกุศล
เหมือนลิงติดตัง (ยางเหนียว) ยากที่จะแกะออกไปได้ แต่ก็พอมีหนทางที่จะขัดเกลาความไม่รู้ อันเป็นต้นเหตุของความติดข้องได้ ด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะความไม่รู้ และความติดข้อง รวมไปถึงกิเลส อกุศลทั้งหลาย ดับได้ด้วยปัญญา
ปัญญา ที่สะสมทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดก็ถึงความสมบูรณ์พร้อมได้ สำคัญคือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...
ยังเป็นลิงโง่ที่ติดตัง แต่ยังดีที่ได้ "ฟัง" และ "เข้าใจ" พระธรรม
ตามกำลัง "ปัญญา" ครับ
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และ ทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา พี่เมตตา และทุกๆ ท่านครับ
โลภะ ที่ติดข้องในกามคุณ ๕ เหมือนลิงที่ติดตัง ... ติดข้องมากเหมือนลิงที่มีอวัยวะหลายส่วน ติดตัง ยากที่จะดึงออก ... ถ้าไม่รู้หนทางที่จะออกจากตัง มีแต่จะติดมากขึ้น ... การอบรมเจริญปัญญาที่เริ่มต้นด้วยการฟังธรรมะให้เข้าใจ จนระลึกรู้ได้ถึงกามอารมณ์ที่ปรากฏทางทวารต่างๆ โดยไม่ปล่อยให้จิตไหลไปกับความยินดีพอใจ จนไม่ติดในกามอารมณ์นั้นๆ จึงเป็นหนทางที่ออกจากตังได้ ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าเกิดความยินดี พอใจ ติดข้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะใด ขณะนั้น เป็นผู้ถูกกิเลสทั้งหลายครอบงำ แล้ว
ที่ติดข้อง ยินดีพอใจ หรือ แม้กระทั่ง ไม่พอใจ นั้น ไม่ใช่ความผิดของรูป เสียง เป็นต้น แต่เป็นเพราะการได้สั่งสมกิเลสประเภทนั้นๆ มาแล้ว เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย กิเลสก็เกิดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงมีการรู้อารมณ์ต่างๆ มี รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น
และโดยปกติของผู้ที่เป็นปุถุชนจะห้ามไม่ให้ติดข้อง จะห้ามไม่ให้ยินดีในสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น จึงติดข้องยินดีพอใจ อีกทั้งยังไม่เห็นโทษของอกุศล ยังไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง จึงถูกกิเลสอกุศลครอบงำอยู่เป็นประจำ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยกิเลสก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เนื่องจากยังมีกิเลสอยู่นี่เอง จึงต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ต่อไป ครับ.
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านด้วยครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไกลจากกิเลส
กิเลสเปรียบเหมือนยางเหนียวติดง่ายเลิกยาก ละความติดข้อง ผูกพันต้องด้วยปัญญา สำคัญที่สละยางเหนียวเก่าแล้ว ต้องไม่เพิ่มยางใหม่อีก แม้แต่ปัญญาก็ยังเป็นขันธ์ที่ต้อง ละ เช่นกัน จึงได้ชื่อว่าไม่ติด ไม่เยื่อใย ในตังอีก
กราบอนุโมทนาครับ