พระรูปหนึ่งรู้ภูมิเกิด สตีฟ จ็อบ ผิดวินัยเปล่าครับ

 
นัดด
วันที่  22 ส.ค. 2555
หมายเลข  21598
อ่าน  2,351

พระรูปหนึ่งอ้างใช้ญาณตรวจสอบภพภูมิ "สตีฟ จ็อบส์" หลังตาย พบไปเกิดเป็น “ภุมมเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” ยังห่วงกิจการ “แอปเปิล” แต่ด้วยผลบุญ คิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ ทำให้มีมิตรดี ได้บำเพ็ญเพียรเข้าถึงธรรมกาย ชาวเน็ตแขวะ ถ้า “จ๊อบส์” บริจาคเงินด้วย จะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ผู้ที่ญาณ ปัญญาหยั่งรู้ จุติ ปฏิสนธิของสัตว์โลก โดยละเอียด และ รู้เรื่องกรรมและผลของกรรม ว่า กรรมใด ทำให้ไปเกิดเป็นอะไร ด้วยกรรมอะไร คือ พระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้พระสาวก ก็ไม่มีปัญญาที่จะรู้ความละเอียดของกรรมที่ทำ และทำให้เกิดเป็นอะไรได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมดาของกิเลส เมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องเป็นไปตามกิเลส ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ กาย วาจา และใจ ก็ต้องเป็นไปตามกิเลส มีการพูดไม่จริงได้ เป็นธรรมดา ซึ่งสำหรับ พระภิกษุ หากมีเจตนาอวดคุณธรรมที่ไม่มีจริง ก็ต้องอาบัติได้ ข้อต่างๆ ตั้งแต่ข้อเล็กจนถึงข้อใหญ่ และ ถ้า อวดอ้างคุณที่ไม่มีจริง ด้วยการอ้างถึงฌาน วิปัสสนา ที่เป็นคุณธรรม อันยิ่งยวด อันเป็นการอวดอุตตริมนุษธรรม ก็ต้องอาบัติปาราชิด ขาดจากความเป็นพระภิกษุ นี่กล่าวโดยนัยของผู้ที่ยังเป็นพระภิกษุ ก็ต้องอาบัติได้ในข้อต่างๆ แต่ถ้า เป็นผู้ที่ขาดจากความเป็นพระแล้ว คือ ไม่ใช่พระ เพราะ ต้องอาบัติปาราชิกไปแล้ว แต่ก็ยังประพฤติปฏิบัติตนดังเช่นพระภิกษุ คือไม่ใช่พระภิกษุ แต่ปฏิญาณว่าเป็นพระภิกษุชื่อว่ามีโทษมาก อันตรายมาก ท่านเรียกว่า มหาโจร ยิ่งกว่ามหาโจร เพราะ ปล้นทรัพย์ของพระศาสนา และ ปล้นทรัพย์ คือ ศรัทธา และปัญญา เป็นต้น ที่เป็นอริยทรัพย์ของชาวโลก ครับ มีโทษมาก แม้ไม่ต้องอาบัติ เพราะ ไม่ใช่พระภิกษุ แต่มีโทษมาก เพราะ ขณะที่ทำ ก็ทำด้วยอกุศล และเป็นอกุศลกรรมที่มีกำลัง เพราะ ทำให้ผู้อื่นเห็นผิดตามไปด้วย ครับ

ที่สำคัญ ความเห็นผิดก็อยู่กับความเห็นถูก ความไม่ดีก็อยู่คู่กับความดี เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อดีต และปัจจุบัน แม้แต่ในอนาคต ก็จะต้องมีอย่างนี้เป็นธรรมดา ซึ่งไม่มีใครจัดการ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย และ เป็นไปตามธรรมที่เป็นไป กิเลสเกิดขึ้นก็ต้องเป็นอย่างนี้

ดังนั้น การพิจารณาที่ถูก คือ สำคัญที่ตัวเราเอง ที่จะเข้าใจในเหตุการณ์ เรื่องราวในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นว่า ไม่มีใครที่ทำไม่ดี ไม่มีใครที่ทำบาป ทุกอย่าง คือ ธรรมที่เป็นไปในแต่ละขณะ ไม่มีสัตว์ บุคคล เมื่อเข้าใจดังนี้ ก็จะรักษาใจที่จะไปโกรธ ไม่ชอบความไม่ดีของคนอื่น ที่สำคัญว่ามีสัตว์ บุคคล ก็เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ

ความเห็นผิดเกิดขึ้น กาย วาจาก็น้อมไปในความเห็นผิด กิเลสเกิดขึ้นก็น้อมไปในความเห็นผิด และ เห็นใจ กรุณาในบุคคลที่เห็นผิด ทำบาป ว่าจะต้องได้รับกรรมตามนั้น

ดังนั้น เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ทั้งความเห็นผิดและการทำบาปต่างๆ มามากมาย มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ประโยชน์ คือ ประโยชน์ตน คือ ความเข้าใจพระธรรมถูกต้อง ที่จะอบรมปัญญา ดับกิเลส คือ ความเห็นผิด และความไม่รู้ เพราะ เห็นโทษของกิเลสด้วยปัญญา โดยอาศัยเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ที่เป็นเครื่องเตือนของกิเลสของเรา ไม่ใช่ของคนอื่น เป็นสำคัญ ด้วยการอบรมปัญญา และ เจริญกุศลเท่าที่ทำได้ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
jaturong
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
daris
วันที่ 23 ส.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมครับ

น่าเห็นใจผู้ที่มีความเห็นผิด และก็ควรที่จะยินดีที่เรามีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้องเพื่อสะสมความเห็นถูกและศรัทธาให้มั่นคงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะมีความมั่นคงในความเป็นจริง จะรู้ได้เลยว่า ความจริงแล้ว เป็นเช่นไร ที่คนอื่นกล่าวอ้างมานั้น เป็นจริงหรือเท็จ เพราะมีปัญญาได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และยังจะสามารถอธิบายสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ผู้อื่นด้วย เป็นธรรมดาทีเดียวที่บุคคลจะมีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และมีมากด้วย ก็เพราะไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั่นเอง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็สามารถน้อมพิจารณาได้ว่า ตนเองจะไม่เป็นอย่างบุคคลที่เห็นผิดหรือมีพฤติกรรมที่ไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น แต่เราจะทำกิจที่ควรทำอย่างยิ่งซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจและน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงาม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 23 ส.ค. 2555

พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อ ๑๐ อย่าง คือ

๐๑. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา

๐๒. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา

๐๓. อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้

๐๔. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา

๐๕. อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง

๐๖. อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน

๐๗. อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ

๐๘. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว

๐๙. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้

๑๐. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่า สมณะนี้เป็นครู

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
mild
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไกลจากกิเลส

แม้วังคีสะมานพ ครั้งที่เป็นพราหมณ์มีวิชาฉวสีสมนต์ ทราบที่เกิดใหม่ของคนที่ตายไปแล้วถึง ๓ ปี ก็ยังต้องฟังธรรม และเห็นว่า แม้การรู้ภพภูมิใหม่ของผู้อื่นนั้นไร้ประโยชน์ เหตุเพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์ สิ้นกำหนัด และสิ่งที่น่ารู้กว่าสิ่งอื่น คือรู้ความจริง ณ ขณะนี้

และ ขณะนี้ คือเหตุ เป็นปัจจัยให้ผลเกิดขณะต่อไป น่ารู้น่าศึกษายิ่งกว่าข่าวการแสดงอภิญญาของผู้อื่น ซึ่งไม่ไช่ธรรมะจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
h_peijen
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kinder
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ปวีร์
วันที่ 24 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
นิรมิต
วันที่ 24 ส.ค. 2555

กราบอนุโมทนาในธรรมของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เข้าใจ
วันที่ 25 ส.ค. 2555

น่าเห็นใจในความเห็นผิด ของเดียรถีย์ ที่ชื่อว่าอลัชชี
กราบอนุโมทนา ในธรรมสัมมาทิฏฐิของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เซจาน้อย
วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ในโลกนี้คนโง่มากกว่า หรือคนฉลาดมากกว่า"

"ปัญญาอบรมเจริญขึ้นได้ด้วยการฟังพระธรรม พิจารณาในพระธรรมที่ได้ฟังจนกว่าจะเข้าใจเป็นปัญญารู้ได้เฉพาะตน"

"ปัญญานั่นเอง"

"ที่จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 28 ส.ค. 2555

ทุกอย่างย่อมเกิดด้วยเหตุปัจจัย ซึ่งท่านได้อธิบายไว้ในกระทู้นี้ครับ

การอวดอ้างมรรคผล

เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว เป็นเรื่องที่ควรเห็นใจและสงสาร ดังที่คุณหมอ daris กล่าวข้างต้นในความเห็นที่ 3 และก็ย้อนกลับมาพิจารณาตนเองให้ระมัดระวัง ไม่สะสมเหตุแห่งความเห็นผิดแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากจะเป็นต้นเหตุแห่งความเห็นผิดที่ใหญ่หลวง จนยากมากที่จะแก้ไขเยียวยาได้

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
boonpoj
วันที่ 2 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
pichet
วันที่ 21 มิ.ย. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Sea
วันที่ 16 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ