การเวียนว่ายตายเกิด คืออย่างไรครับ

 
เธอคือโลก
วันที่  24 ส.ค. 2555
หมายเลข  21609
อ่าน  2,681

ในเมื่อวิญญาณ หรือจิต (ธรรมชาติที่รู้อารมณ์) เกิดดับตลอดเวลา แล้วสภาพธรรมอันไหน? ที่ทำหน้าที่สืบต่อ เมื่อสิ้นสุดจากความเป็นบุคคลนั้นๆ ในชีวิตหนึ่งๆ ครับ

เช่น การที่พระศาสดา กล่าวถึงพระชาติก่อนที่จะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ในพระชาติสุดท้าย ว่าเคยเกิดเป็นบุคคลนั้นๆ มาก่อน จึงดูเหมือนกับว่า มีธรรมชาติอย่างหนึ่งที่รักษา หรือเก็บข้อมูลความทรงจำ สืบเนื่องต่อๆ กันอย่างไม่ขาดสาย เสมือนเป็นของบุคคลคนเดียวกัน มาตลอด ซึ่งฟังดูคล้ายๆ กับแนวคิดที่ว่า มีอะไรบางอย่าง ออกจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งเมื่อมีการตายและเกิดใหม่ขึ้น

ช่วยทำความเห็นของผมให้ถูกด้วยครับ ผมว่า ผมเข้าใจอะไรบางอย่าง ผิดไปแน่ๆ ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริง พระธรรมมีความละเอียดลึกซึ้ง โดยเฉพาะ โวหาร การแสดงธรรมตามนัยต่างๆ ในความเป็นจริง สิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป แต่เพราะอาศัย การประชุมรวมกันของจิต เจตสิก รูป จึงบัญญัติว่า มีสัตว์ บุคคล มีสิ่งต่างๆ

ดังนั้น จึงแบ่งสัจจะ เป็นสองอย่าง คือ ปรมัตถสัจจะ คือ สิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป และ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติของชาวโลกที่บัญญัติขึ้น เช่น สัตว์ บุคคล คนนั้น คนนี้ พระราชา เป็นต้น

เพราะฉะนั้น การเวียนว่ายตายเกิด คือ การเกิดดับสืบต่อกันของจิต เจตสิก ที่สืบต่อกันไป ที่เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ แต่ พระพุทธเจ้าทรงแสดง โวหาร การแสดงธรรม ทั้งนัยที่เป็นปรมัตถโวหาร และ สมมติโวหาร คือ บัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคล เป็นพระเวสสันดร เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ด้วย เพื่อให้สัตว์โลกเข้าใจโดยนัยสมมติว่า มีการสะสม อบรมบารมี ในแต่ละชาติว่า เป็นบุคคลต่างๆ เพื่อให้เข้าใจในเรื่องของกรรมและผลของกรรม เข้าใจว่ามีการสะสมคุณความดีมา จนถึงความเป็นพระพุทธเจ้า หากแสดงโดยนัยปรมัตถ์ ที่เป็น จิต เจตสิก อย่างเดียว สัตว์โลกจะไม่เข้าใจได้ เช่น แสดงว่า จิตนี้ อบรมบารมีมา ทำให้เกิดเป็นจิตนี้ ทำให้จิตนี้เป็นพระพุทธเจ้า หรือ ถ้าแสดงโดยแต่ปรมัตถ์ ก็จะไม่เข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม เช่น แสดงว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ทำบุญ ไปเกิดเป็นเทพบุตร อันนี้พอเข้าใจ แต่ถ้าแสดงว่า จิตนี้ให้ทาน ทำบุญ ทำให้จิตนี้ได้รับผลของกรรม ก็จะทำให้ไม่เข้าใจ ครับ

เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงแสดง โดยนัยสมมติด้วย ครับ แต่ ผู้ที่เข้าใจธรรมแล้ว ก็คือ เข้าใจทั้งโดยนัยปรมัตถ์ ที่เป็น จิต เจตสิก และ รูป และโดยนัยสมมติว่า เป็นการสมมติเรียกขึ้นให้เข้าใจกันเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่มี คือ จิต เจตสิก รูป จึงบัญญัติว่าเป็น สัตว์ บุคคล ต่างๆ เพราะฉะนั้น การสะสมสืบต่อมาในแต่ละชาติ ก็คือ จิต เจตสิก ที่เกิดสืบต่อกันต่อเนื่องกันไป เป็นสังสารวัฏฏ์ เป็นการเวียนว่ายตายเกิด ที่เป็นจิต ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะนั่นเอง ครับ จึงไม่มีใครออกจากร่าง เพียงแต่เป็นจิตที่เกิดดับสืบต่อ แต่กล่าวโดยสมมติให้เข้าใจเท่านั้นเอง ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
govit2553
วันที่ 25 ส.ค. 2555

ผมว่า เป็นความแยบยลนะ ในยุคสมัยนั้น มีคนที่เชื่อว่า วิญญาณเป็นอมตะ วิญญาณเดิมนั่นแหละไปเกิดใหม่ ก็มี และพวกที่เชื่อว่าตายแล้วสูญ ก็มี

พระพุทธเจ้า ทรงยกเรื่อง เหตุปัจจัย ให้เกิดวิญญาณ และลักษณะของวิญญาณเป็นแบบอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีลักษณะเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตลอดเวลา และสามารถให้วิญญาณหยุดการสืบต่อได้ เมื่อไม่มีเหตุปัจจัย (หรือมีเหตุปัจจัยบางประการ ... อันนี้ รายละเอียดจริงๆ ต้องรอผู้รู้ยิ่งกว่าผม ครับ) และทรงอธิบายได้ละเอียดมากๆ

เรื่อง การทำงานของปัจจัย ระหว่าง จุติจิตและปฏิสนธิจิต คือ ... คนเรามีการออกจากสังสารวัฏฏ์ ได้นะ ถ้าเหตุปัจจัยถึงพร้อม คนเราเวียนว่ายตายเกิด ไปเรื่อยๆ นะ ถ้าเหตุปัจจัยชักนำคือไม่ปฏิเสธ การเวียนว่ายตายเกิด และไม่ปฏิเสธการตายแล้วสูญ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 25 ส.ค. 2555

เรียนสนทนาเพิ่มเติมในความเห็นที่ 2 ครับ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเป็นจริง ทั้ง โดยนัยปรมัตถ์ และ สมมติ เพื่อให้เข้าใจพระธรรมส่วนต่างๆ โดยไม่ละทิ้งความเข้าใจถูกเดิม คือ มีแต่สภาพธรรม ครับ

ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 360

และในการที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงสมมติเทศนา และ ปรมัตถเทศนา นี้ พระโบราณาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า :-

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าผู้สอนทั้งหลาย ได้ตรัสสัจจะไว้ ๒ อย่าง คือ สมมติสัจจะ ๑ ปรมัตถสัจจะ ๑ ไม่มีสัจจะอย่างที่ ๓

พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับสมมติ (สังเกต) ชื่อว่า เป็นสัจจะ เพราะเหตุที่เป็นสมมติของโลก ส่วนพระพุทธดำรัสเกี่ยวกับปรมัตถ์ ชื่อว่า เป็นสัจจะ เพราะเหตุที่เป็นความจริงของธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้น สำหรับพระโลกนาถศาสดา ผู้ทรงฉลาดในโวหารเทศนา ตรัสถึงสมมติ มุสาวาท จึงไม่เกิดขึ้น (ไม่เป็นการกล่าวเท็จ) ดังนี้.

เหตุตรัสบุคคลกถา ๘ ประการ

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสบุคคลกถา (ถ้อยคำระบุบุคคล) ด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ

๑. เพื่อทรงแสดงถึงหิริและโอตตัปปะ

๒. เพื่อทรงแสดงถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน

๓. เพื่อทรงแสดงถึงการกระทำของคนโดยเฉพาะตัว

๔. เพื่อทรงแสดงถึงอนันตริยกรรม

๕. เพื่อทรงแสดงถึงพรหมวิหารธรรม

๖. เพื่อทรงแสดงถึงบุพเพนิวาสานุสสติญาณ

๗. เพื่อทรงแสดงถึงทักขิณาวิสุทธิ

๘. เพื่อไม่ทรงละทิ้งสมมติของโลก.

แม้ในพระดำรัส ที่ตรัสว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะทั้งหลาย ระลึกชาติที่เคยอยู่ก่อนของเราได้ ดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงการระลึกชาติอยู่มาก่อนได้ ...

เพราะว่า ธรรมดาพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย จะไม่ทรงละทิ้งสมมติของโลก ทรงดำรงอยู่ในถ้อยคำของชาวโลก ในภาษาของชาวโลก ในการเจรจาของชาวโลก นั้นแหละ ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถาไว้เพื่อไม่ละทิ้งสมมติของโลกเสีย.

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิรมิต
วันที่ 25 ส.ค. 2555

กราบอนุโมทนาสาธุทั้งผู้ถามและ อ.ผเดิม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 25 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นผู้ที่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาอยู่ เมื่อตายแล้ว (คือจุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก) ต้องเกิดทันที มีปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที โดยไม่มีระหว่างคั่น ปฏิสนธิจิต ก็คือ จิต ประเภทหนึ่งนั่นเอง จะเรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณ ก็ได้ เมื่อจุติจิตของชาติที่แล้วเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะต่อไป ก็จะเกิดสืบต่อทันที โดยไม่มีจิตอื่นคั่นเลย ก็คือ ปฏิสนธิจิต ในภพใหม่ชาติใหม่

จิตขณะแรกในแต่ละภพในแต่ละชาติ ก็คือ ปฏิสนธิจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่สืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว การที่จะเกิดเป็นอะไรในภพไหน นั้น ขึ้นอยู่กับกรรมเป็นสำคัญ ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็ทำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยังพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ จนกว่าจะเป็นผู้อบรมเจริญปัญญา ถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นพระอรหันต์ จึงจะเป็นผู้พ้นจากทุกข์ และเมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลย ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดอีกเลย สังสารวัฏฏ์เป็นอันสิ้นสุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
mild
วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไกลจากกิเลส

ที่มีความเห็นว่า เสมือนเป็นของบุคคลคนเดียวกันมาตลอดนั้น ไม่ทั้งหมด เพราะจิตเก่าดับไป จิตดวงใหม่ เกิดขึ้นใหม่และไม่กลับไปเป็นบุคคลนั้นอีก และเป็นจิตดวงใหม่ที่เกิดใหม่ เพราะมีความไม่รู้เป็นเหตุ จึงมีกิเลสกรรมเป็นพืชเชื้อเป็นปัจจัยให้เกิดอีก มีการเกิดดับสืบต่อที่เรียกว่า วัฏฏะ มีรูปใหม่ นามใหม่ และเป็นไปตามวิบากแห่งกรรมที่หลากหลาย จนกว่าที่จะมีวิชชาที่ดับกิเลสจนหมด จึงไม่เหลือเยื่อใยในกิเลส ภพต่อไปจึงไม่มี

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ