เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กับ พระโสดาบัน
ทำอย่างไรถึงจะได้ชื่อว่า เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กับ พระโสดาบัน ครับ
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ด้วยเหตุ ๔ ประการ ครับ
โดยมอบกายถวายชีวิต ๑
โดยมีพระรัตนตรัยนั้นเป็นเบื้องหน้า ๑
โดยมอบตัวเป็นศิษย์ ๑
โดยความนอบน้อม ๑
และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง การถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ด้วยการน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ในพระธรรม คือ การเจริญวิปัสสนา เป็นต้น และเมื่อถึงการดับกิเลสด้วยมรรคจิต ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ย่อมมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่สมบูรณ์ คือ ไม่ขาดอีกต่อไเพราะ การนับถือ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะของปุถุชน ยังไม่แน่นอน ยังเปลี่ยนแปลงได้อยู่ ครับ ซึ่ง ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะประการใด สำคัญ คือ มีจิตที่คิด นอบน้อมในพระรัตนตรัย ด้วยกุศลจิตเป็นสำคัญ ครับ
การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น เกิดจากความเข้าใจถูกในพระธรรม และในแนวทางที่ถูกต้องครับ หากว่าเข้าใจพระธรรมผิดแล้ว ก็เป็นแต่เพียงถึงพระรัตนตรัยเพียงแต่คำพูดเท่านั้น เพราะเมื่อเข้าใจพระธรรมหรือในแนวทางที่ผิด ก็ถึงพระธรรมในทางผิด เป็นที่พึ่ง และไม่เข้าใจถูกว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก็ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพื่อปฏิบัติผิด และไม่เข้าใจสังฆรัตนเป็นที่พึ่ง คือพึ่งผิด เพราะเข้าใจในสังฆรัตนผิด ครับ
เช่น พระคุณของสังฆรัตน คือ เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว แต่ถ้าเข้าใจการประพฤติปฏิบัติผิด ก็เข้าใจพระคุณของสังฆรัตนผิดด้วย ครับ ดังนั้นการถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น เกิดจากความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง จึงถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งโดยถูกต้องด้วย ครับ
ดังข้อความในพระไตรปิฎก ที่บุคคลที่ฟังธรรมเข้าใจ จากพระพุทธเจ้าและจึงกล่าวว่าขอถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง อันเกิดจากความเข้าใจถูกในแนวทางการอบรมปัญญา อันเป็นเพราะฟังพระธรรมที่ถูกต้องนั่นเองครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
โดยอาการมีพระรัตนตรัยนั้นเป็นเบื้องหน้า
ส่วนการถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ย่อมถึงความเป็นพระโสดาบัน ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 279
๕. ทุติยสาริปุตตสูตร
ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา
[๑๔๒๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร ที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน.
[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตร กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ คือ
สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑
สัทธรรมสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑
โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑.
[๑๔๒๙] พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑
ส่วนเมื่ออบรมปัญญาด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมแล้ว จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน คุณธรรมต่างๆ ที่เป็นผลมาจากการอบรมปัญญาเป็นพระโสดาบัน จะตามมาเอง ดังข้อความในพระไตรปิฎก ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
องค์คุณของพระโสดาบัน [โอคธสูตร]
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระรัตนตรัย หมายถึง รัตนะที่ประเสริฐ ๓ ประการ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เพียงท่องหรือพูดตามเท่านั้น ว่าข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง โดยที่ไม่มีความเข้าใจพระธรรม เลย
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง, พระองค์ทรงปฏิบัติเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการแสดงพระธรรม ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา แห่งการประกาศพระธรรมคำสอนของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ มีผู้ที่ได้รู้แจ้งธรรมหมดจดจากกิเลส เป็นผู้ปราศจากกิเลส เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งไม่มีบุคคลใดจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ได้
ดังนั้น การมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง คือ การพึ่งพระปัญญา ที่ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ถ้าหากไม่มีพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ก็ไม่มีใครสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏ ในชีวิตประจำวันได้ เพราะฉะนั้น การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา
และปัญญานี้ จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ค่อยๆ อบรมความเข้าใจพระธรรม ค่อยๆ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ โดยไม่ไปฟังคนอื่น ที่มีความเห็นผิด คลาดเคลื่อนไป จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงแสดงให้เห็นว่า การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องเริ่มจากการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง
- พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับได้ เป็นเพียงบางประเภท ยังไม่สามารถดับได้ทุกประการ เพราะผู้ที่จะดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือนั้น คือ พระอรหันต์
การเป็นพระอริยบุคคลทุกขั้น เป็นได้ด้วยปัญญาและต้องดำเนินตามหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือ อริยมรรค มีองค์ ๘ ที่เริ่มด้วย ความเห็นที่ถูกต้อง ต้องเป็นผู้ที่สะสมอบรมเจริญปัญญา สะสมการสดับรับฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ไม่ใช่ฟังเพียงแค่ชาติ สองชาติ เท่านั้น ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...