ร่างกายนี้ คือ รูปขันธ์ ใช่หรือไม่ครับ

 
govit2553
วันที่  30 ส.ค. 2555
หมายเลข  21633
อ่าน  1,530

ร่างกายนี้ เกิดดับ ในลักษณะแบบนี้ใช่ไหมครับ

เหมือนเมล็ดทรายหลายสีที่ระคนกัน มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดถี่ยิบ และทยอยกันเกิดดับ

กายเนื้อที่เราเห็นด้วยตาเนื้อ ว่ามันอยู่คงที่ไม่ได้เกิดดับเลย แต่แท้จริงเกิดดับในลักษณะแบบที่อักษรสีแดง อธิบายใช่หรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เข้าใจคำว่า กาย ก่อนนะครับ

กาย หมายถึง การประชุม การรวมกันของสิ่งใด สิ่งหนึ่ง

เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงแต่คำว่ากาย ไม่ได้หมายถึง ร่างกายของเราเท่านั้น แต่หมายถึงการประชุม การรวมกันของสิ่งใด สิ่งหนึ่งก็ได้ ดังนั้นคำว่า กาย คือ การประชุม รวมกัน

กาย มี ๒ อย่าง คือ นามกายและรูปกาย

นามกาย คือการประชุมกัน รวมกันของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ซึ่งก็ได้แก่ ขันธ์ ๔ มี เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ

ส่วนรูปกาย ก็คือ สภาพธรรมทั้งหมด ที่เป็นรูปธรรม มี ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี ... เป็นต้น อันเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ที่เป็นรูปธรรม เป็นรูปกาย คือ การประชุมของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม

เพราะฉะนั้น ร่างกาย ก็คือ การประชุมรวมกันของ รูปธรรมและนามธรรม ทั้งสองอย่าง แต่เมื่อว่าโดยเฉพาะรูปอย่างเดียว รูป คือ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ซึ่ง รูป เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ จะต้องเกิดขึ้นและดับไป ซึ่งการรู้การเกิดดับของรูป จะต้องเป็นปัญญาระดับสูง เพราะ ในขณะนี้ ไม่เห็นการเกิดดับเลย เพราะ ตา เห็นได้เพียงแต่ สี หรือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น แต่ การเห็นการเกิดดับของรูปธรรม ต้องเห็นด้วยปัญญาที่ไม่ใช่การคิดนึก ดังอุปมาที่ผู้ถาม ที่ว่า เหมือนเมล็ดทรายหลายสี ที่ระคนกันมีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดถี่ยิบและทยอยกันเกิดดับ


- นี่เป็นการอุปมาครับ ที่ให้เห็นว่า รูปแต่ละกลาปที่ละเอียด แต่ละกลาป มีอากาศธาตุแทรกคั่น อย่างละเอียดถี่ยิบ และ ที่สำคัญ รูปแต่ละกลาป ก็เกิดดับ แต่ละรูป ตามสมุฏฐานของรูปที่เกิด คือ รูปเกิดได้ ๔ สมุฏฐาน คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร

รูปที่เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ ก็เกิดดับของเขา แยกกันไปเหมือนเมล็ดทราย แต่ละเม็ด ที่ระคนกัน คือ เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ กัน และต่างก็เกิดดับ ในรูปแต่ละรูป ซึ่ง ข้อความในพระไตรปิฎกแสดงไว้ครับว่า การจะรู้การเกิดดับของรูปธรรม จะต้องเป็นวิปัสสนาญาณขั้นสูง มีขั้นที่ ๔ ที่เห็นการเกิดดับของรูป แต่ละกลาปๆ อย่างละเอียด ซึ่งจะต้องเห็นด้วยปัญญา

เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องการคิดนึก และ ข้อความที่ถาม เป็นการอุปมาของรูป ที่ไม่ปนกัน และละเอียดยิบเหมือนเมล็ดทรายที่ระคน ปนกัน เป็นการอุปมาให้เห็นภาพ แต่ในความเป็นจริง รูปแต่ละกลาปประชุมรวมกัน ละเอียดกว่านั้นมาก และ มีการเกิดดับอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไกล กว่าจะถึงตรงนั้นได้ เพียงแต่ข้อความที่อุปมา เพื่อให้เข้าใจว่า มีรูปที่ละเอียดประชุมกัน และมีการเกิดดับจริงๆ แล้วจึงกลับมาที่ความเห็นถูกเบื้องต้น ด้วยการอบรมปัญญาขั้นการฟัง ศึกษาพระธรรมในเรื่องสภาพธรรมไปเรื่อยๆ ปัญญาก็จะถึงพร้อม จนประจักษ์ความจริงเช่นนั้น ครับ

สำคัญที่เหตุ เป็นสำคัญ ซึ่งตอนนี้ยังแยกไม่ได้เลย เพราะ ไม่มีปัญญาถึงตรงนั้น เพราะ การเกิดดับของรูปธรรม ละเอียดกว่าอุปมามากมาย ครับ

เชิญคลิกอ่านที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บรรยาย อุปมาที่ยกมา ครับ

นามรูปปริจเฉทญาณ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 30 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และมีจริงทุกขณะในชีวิตประจำวัน

เมื่อจะกล่าวโดยประมวลแล้ว สภาพธรรมในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย จะเป็นใครก็ตาม ก็มีสภาพธรรม ๒ อย่าง ซึ่งต่างกัน คือ นามธรรมและรูปธรรม

รูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า จากการที่ได้เริ่มศึกษาพระธรรมบ้างแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ว่า อะไรบ้าง ที่เป็นรูปธรรม เช่น ตา เป็นรูปธรรม หู เป็นรูปธรรม เป็นต้น

แต่นามธรรม เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ เช่น เห็น เป็นนามธรรม ได้ยิน เป็นนามธรรม เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจว่า เมื่อกล่าวถึงอะไร ก็ไม่พ้นไปจากธรรม ไม่พ้นไปจากรูปธรรมและนามธรรมเลย เมื่อเป็นธรรมก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ เท่านั้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ