ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๕๕

 
khampan.a
วันที่  9 ก.ย. 2555
หมายเลข  21704
อ่าน  2,192

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕]

๑. การมีโอกาสได้อยู่ในภพภูมินี้ และมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม ได้ฟังพระธรรมของพรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วน้อมประพฤติปฏิบัติตามด้วยความไม่ประมาทย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

๒. เรื่องของการคบหาสมาคม เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่จะต้องระวังโดยเฉพาะในเรื่องของความเห็น เพราะเหตุว่าบางคนยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม แต่ก็ถูกชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจในพระธรรม และคบหาสมาคมกับความเห็นผิด ก็ย่อมจะต้องเห็นผิดตามไปด้วย

๓. ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็ต้องมีความอดทนที่จะละเว้นการทำบาปทั้งสิ้น มีการอดทนที่จะยังกุศลให้ถึงพร้อม มีความอดทนที่จะยังจิตของตนให้ผ่องใส ขาดความอดทนไม่ได้เลย

๔. การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น การไม่ทำร้ายผู้อื่น ก็ต้องอาศัยความอดทน

๕. ที่ชื่อว่า พาล เพราะเป็นอยู่หายใจได้เท่านั้นเอง มีชีวิตอยู่โดยเพียงหายใจเข้าหายใจออก แต่ว่าตลอดชีวิตนั้นไม่ได้เป็นอยู่ด้วยความเป็นอยู่ด้วยปัญญา มีมากหรือน้อย ถ้าคิดถึงบุคคลในโลกนี้

๖. ขณะใดที่มีความคิดดูหมิ่นสักเล็กน้อย นิดหน่อย ไม่ว่าในความประพฤติ ในกิริยาในคำพูด ในความคิด ในความไม่รู้ของคนอื่นก็ตาม ขณะนั้นจิตนั้นต้องเป็นอกุศล ถ้าไม่รู้จะขัดเกลาไหม แต่ถ้ารู้แล้วเห็นโทษจริงๆ ก็คงจะรู้ตนเองว่า ไม่ควรเลยที่จะดูหมิ่นใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ตาม

๗. เมื่อไม่รู้ความจริงของทุกสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ย่อมติดข้องยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืน โดยไม่รู้ความจริงว่า สิ่งนั้นไม่เที่ยง เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไปสืบต่ออย่างรวดเร็วทุกๆ ขณะ

๘. ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงที่ยากจะรู้ได้ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงของธรรมทั้งหลายแล้ว ผู้ที่ประมาทในการศึกษา ย่อมคิดว่า ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น เป็นสิ่งที่รู้ตามได้โดยไม่ยาก

๙. คนที่ทุกข์ใจมากๆ ก็จะมีทุกข์กายติดตามมา นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย แล้วก็คิดมาก ปวดศีรษะ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็จะติดตามมา รับประทานอาหารไม่ได้ ก็จะทำให้เพิ่มความทุกข์นั้นด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะทุกข์ใจอย่างเดียว ทุกข์กายก็จะติดตามมาด้วย

๑๐. ประพฤติปฏิบัติหนทางใดๆ ด้วยความไม่รู้ หนทางนั้นไม่ใช่หนทางของปัญญาเป็นหนทางแห่งความเห็นผิด คือ มิจฉาทิฏฐิ

๑๑. ฝั่งนี้เป็นฝั่งของความไม่รู้และความติดข้อง แต่ฝั่งโน้นเป็นฝั่งแห่งความรู้และความไม่ติดข้อง

๑๒. ฝั่งโน้นมีแน่ จะถึงฝั่งโน้นได้ ก็ต้องมีการอบรมเจริญปัญญา

๑๓. ในเมื่อยังอยู่ในฝั่งนี้ คือ ฝั่งของกิเลส ภาระหน้าที่ที่สำคัญ ก็คือ เมื่อยังไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็จะได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ

๑๔. วิชชา (ปัญญา) เป็นการรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง

๑๕. ลืมไม่ได้เลยว่า ขณะนี้ คือ ธรรมเพียงชั่วคราว

๑๖. โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม มีน้อย จะประมาทไม่ได้เลย มีโอกาสฟัง ก็ควรฟัง

๑๗. เวลาฟังพระธรรม ไม่ใช่เวลาคุยกัน เพราะถ้าคุยกันขณะนั้นย่อมไม่ได้ฟัง

๑๘. อกุศลจิตจะเกิดร่วมกับปัญญาไม่ได้เลย

๑๙. เห็นอะไร? อย่าลืมว่า เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น

๒๐. จิตเห็น ไม่ได้มีกิจหน้าที่อื่นเลย นอกจากเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น การติดข้อง หรือ การไม่พอใจ นั่นไม่ใช่กิจหน้าที่ของจิตเห็น

๒๑. พระธรรมที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา นับคำไม่ถ้วน ทั้งหมดเพื่อเข้าใจความเป็นอนัตตาของธรรม

๒๒. ปัญญา นำมาซึ่งกุศลธรรมทั้งปวง อวิชชา นำมาซึ่งกุศลธรรมทั้งปวง.


ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๕๔ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ.


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 9 ก.ย. 2555

เรื่องของการคบหาสมาคม เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่จะต้องระวังโดยเฉพาะในเรื่องของความเห็น เพราะเหตุว่าบางคนยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม แต่ก็ถูกชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจในพระธรรม และคบหาสมาคมกับความเห็นผิด ก็ย่อมจะต้องเห็นผิดตามไปด้วย

ตัวเองก็เริ่มจากการถูกชวนไปปฏิบัติธรรมเหมือนกันค่ะ ไปปฏิบัติทั้งๆ ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่รู้ว่าธรรมแท้จริงนั้นคืออะไร เมื่อไม่รู้ว่าธรรมคืออะไรก็ยึดถือสภาพธรรมต่างๆ เป็นเรา เป็นตัวตน เห็นก็เป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา แต่คิดตามที่ผู้สอนว่า เห็นเป็นนามธรรม ก็ได้แต่คิดธรรมเอง มีแต่สะสมความเห็นผิดที่ยึดสภาพธรรมว่าเป็นเรา ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าถึงตัวจริงๆ ของธรรมได้เลย เพราะสติปัฏฐานจะเกิดได้ต้องเป็นสติเจตสิกที่ทำกิจระลึกลักษณะสภาพธรรม สติไม่สามารถระลึกเรื่องราวของธรรมได้ แล้วจะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลของ อ. คำปั่น ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 9 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ

๑. ในสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิด) แต่ละชีวิต สะสมกรรม ต่างๆ มา มากมายหลากหลาย สุดที่จะประมาณได้เป็น เหตุที่ทำให้ แต่ละชีวิต แต่ละคน ที่เกิดมาก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่ง ไม่ซ้ำกันเลย

๒. แม้แต่ ในขณะนี้ ขณะที่กำลังฟังพระธรรมก็ มีความหลากหลายตามศรัทธา ตามความเข้าใจ ตามการเห็นประโยชน์และ ตามการเห็นคุณค่าของพระธรรมที่ได้ฟังแม้ในอนาคตข้างหน้าต่อไปอีกก็จะหลากหลายอีกสักแค่ไหน แต่ว่าทุกขณะที่เกิด เกิดแล้ว ก็ต้องดับไป.

๓. แต่ละคำ ซึ่งเป็น พระธรรมเทศนา ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงทรงแสดง เพื่ออนุเคราะห์ ให้ผู้ฟัง ได้เข้าใจ ธรรม

๔. ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ความจริงทั้งในอดีต ปัจจุบัน และ ต่อไปในอนาคต ธรรมก็ต้องเป็นจริง อย่างนี้

๕. การฟังธรรม และ สนทนาธรรมด้วยความละเอียด รอบคอบ อย่างยิ่งเป็นการบูชาพระรัตนตรัย

๖. สิ่งอื่น พึ่งได้ไหม เช่น ขณะที่กำลังเห็น ในขณะนี้มีสิ่งที่ กำลังปรากฏพึ่ง อะไรคะ?ถ้าขณะนั้น โลภะ เกิด โทสะ เกิด โมหะ เกิด ชื่อว่า ขณะนั้น ไม่มี อะไร เป็นที่พึ่งที่พึ่งที่แท้จริง คือ ปัญญา

๗. แม้ ศรัทธาที่จะชื่นชม อนุโมทนา ในคุณของกุศลธรรมก็เป็นการ รู้คุณ ของ กุศลธรรมขณะนั้น ก็เป็น ศรัทธาในกุศลธรรมแต่ยังไม่ได้ กระทำกุศลกรรม แต่เมื่อมีศรัทธาในกุศลธรรม และ กระทำกุศลกรรมด้วยย่อมเห็นถึง ความต่างกันระหว่าง เพียงความศรัทธาในกุศลธรรม และ ความศรัทธาที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะ กระทำกุศลกรรม ต่างๆ นั้น ได้ด้วย เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะเจริญกุศลทุกประการ เท่าที่สามารถจะกระทำได้ไม่เพียงแต่ศรัทธา อนุโมทนา ในกุศลธรรมของบุคคลอื่นแต่ ไม่ได้กระทำกุศลกรรมนั้นเลย.

๘. กุศลกรรมทำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ควรเป็นมนุษย์ ที่ทำความดี เป็น คนดีที่มีความเข้าใจธรรมมิฉะนั้น ก็เพียงแต่ได้เกิดมา เป็น มนุษย์

๙. ขณะที่ฟังและเข้าใจ ขณะนั้น เป็น ความดี.ความดี ซึ่ง อารักขาอารักขา ให้ทราบว่าควรที่จะฟังพระธรรมต่อไปเพื่อที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ต่อไป เรื่อยๆ ขณะที่ สติระลึกได้ขณะนั้น เป็น การอารักขา (จิต) ไม่ให้เป็น อกุศลเพราะขณะนั้นกำลังฟังพระธรรม เข้าใจและ ระลึกถึงพระธรรมที่ได้ฟังมาแล้วนานแสนนาน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kinder
วันที่ 10 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 11 ก.ย. 2555

ขอขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 11 ก.ย. 2555

ดีมากๆ เลยค่ะ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
boonpoj
วันที่ 8 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ธ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
สิริพรรณ
วันที่ 20 ธ.ค. 2563

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
มังกรทอง
วันที่ 17 ต.ค. 2564

คนที่ทุกข์ใจมากๆ ก็จะมีทุกข์กายติดตามมา นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย แล้วก็คิดมาก ปวดศีรษะ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็จะติดตามมา รับประทานอาหารไม่ได้ ก็จะทำให้เพิ่มความทุกข์นั้นด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะทุกข์ใจอย่างเดียว ทุกข์กายก็จะติดตามมาด้วย

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธู สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มังกรทอง
วันที่ 18 ต.ค. 2564

ขณะใดที่มีความคิดดูหมิ่นสักเล็กน้อย นิดหน่อย ไม่ว่าในความประพฤติ ในกิริยาในคำพูด ในความคิด ในความไม่รู้ของคนอื่นก็ตาม ขณะนั้นจิตนั้นต้องเป็นอกุศล ถ้าไม่รู้จะขัดเกลาไหม แต่ถ้ารู้แล้วเห็นโทษจริงๆ ก็คงจะรู้ตนเองว่า ไม่ควรเลยที่จะดูหมิ่นใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ตาม น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ